Movie: Dredd 3D

พฤหัส ๑๓ กันยายน ๒๐๑๒ ๐๘:๒๕
ประเภท Action

กำหนดฉาย 20 กันยายน 2012

บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์

อำนวยการสร้าง/เขียนบท อเล็ก การ์แลนด์ (28 Weeks Later, Sunshine, The Beach)

กำกับ พีท ทราวิส (Vantage Point, Endgame)

นำแสดง คาร์ล เออร์บัน (Star Trek, Red, The Lord of the Rings) โอลิเวีย เทิร์ลบี้ (The Darkest Hour, Juno, No Strings Attached)

ลีน่า เฮดี้ (ซีรี่ย์ Terminator: The Sarah Connor Chronicles, 300)

ดอมเนลล์ กลีสัน (Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 1 & 2)

เนื้อเรื่อง

ในอนาคตอันใกล้ ทวีปอเมริกาเหลือเพียงแค่เศษซากของอารยธรรม แถบชายฝั่งตะวันออกตั้งแต่บอสตันจนไปถึงวอชิงตัน ดีซี มีเพียงเมือง “เมกะซิตี้วัน” ที่ประชากรจำนวน 400 ล้านคนอาศัยอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว มีกองกำลังเดียวเพีงหนึ่งเดียวที่พยายามอย่างสุดความสามารถในการรักษาความเรียบร้อยก็คือ "ตุลาการ" เจ้าหน้าท่ตำรวจที่มีอำนาจเป็นทั้ง คณะลูกขุน ผู้พิพากษา และมือสังหาร

ตุลาการฝีมือดีที่สุดใน เมกะซิตี้วัน ก็คือ เดร็ดด์ (คาร์ล เออร์บัน) ที่หัวหน้าได้มอบภารกิจประจำวัน โดยจับคู่กับตุลาการสาวหน้าใหม่ แคสแซนดร้า แอนเดอร์สัน (โอลิเวีย เทิร์ลบี้) ที่มีพลังจิตเป็นความสามารถพิเศษ แต่การเริ่มงานวันแรกก็อาจเป็นวันสุดท้ายของเธอ เมื่อพวกเขาต้องเข้าไปในอาคาร พีชทรี ความสูง 200 ชั้น ควบคุมโดย มา-ม่า (ลีน่า เฮดี้) ที่เป็นแหล่งผลิตยาเสพติดที่อันตรายที่สุดอย่าง สโล-โม

ทันทีที่ เดร็ดด์ จัดการกับสมุนของ มา-ม่า ในชั้นล่างสุด เธอก็ออกคำสั่งปิดตึกและสั่งให้ลูกสมุนทุกคนตามล่าเพื่อจัดการกับตุลาการทั้งสอง ทำให้ทั้ง เดร็ดด์ และ แอนเดอร์สัน ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และทางออกเดียวสำหรับสงครามครั้งนี้ นั้นก็คือการฝ่าลูกสมุนนับร้อย เพื่อขึ้นไปจัดการกับ มา-ม่า ในชั้นบนสุด

จุดเริ่มต้น

โลกแห่งอนาคตสุดโหดใน Judge Dredd ถูกสร้างโดย จอห์น แวกเนอร์ และ คาร์ลอส เอสเควียรา สองคู่หูนักเขียนตั้งแต่ปี 1977 สำหรับค่ายการ์ตูน 2000AD ด้วยเรื่องราวการผจญภัยของ เดร็ดด์ และตัวละครอีกมากมาย มันถูกโหวตให้กลายเป็นการ์ตูนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลจาก National Comics Awards

ในที่สุดด้วยแนวทางที่ชัดเจน และความคิดสร้างสรรค์ของผู้เขียนบท อเล็ก การ์แลนด์ เขาก็นำเอา Dredd กลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้งในหนังแอ็คชั่นบนโลกอนาคต ที่ย้อนกลับไปหาความมันส์สะใจและมีเลือดมีเนื้อของต้นฉบับ ซึ่ง จอห์น แวกเนอร์ และ คาร์ลอส เอสเควียรา ตั้งใจทำเอาไว้ในเวอร์ชั่นการ์ตูน

อเล็ก การ์แลนด์ เผยถึงความตั้งใจในการนำ Dredd มาสร้างว่า "ผมโตขึ้นมาด้วยการอ่าน Judge Dredd นักเขียนและนักวาดจากค่าย 2000AD เป็นแรงบันดาลใจให้กับผมในการเป็นนักเขียนบท ทั้ง แอนดรูว์, อัลลอน และผมช่วยกันพัฒนา Judge Dredd เวอร์ชั่นหนังขึ้นมาจากความสมจริง สโคปของเรื่อง และความน่าตื่นตาของเมือง เมกะซิตี้วัน"

เป็นเรื่องที่น่ายินดีเมื่อผู้ให้กำเนิด Judge Dredd อย่าง จอห์น แวกเนอร์ ก็เข้ามามีส่วนร่วมในโปรเจ็คนี้ เขาเผยว่า "บทภาพยนตร์ของ อเล็ก มีความซื่อสัตย์ต่อตัวการ์ตูน สิ่งที่ทำให้ ตุลาการเดร็ดด์ กลายเป็นฮีโร่ที่ทั้งโหดและเท่ที่สุด นั่นก็คือความรู้สึกของการได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์คู่ใจของ เดร็ดด์ ลงสู่ห้วงของความมืดมิดในเมืองเมกะซิตี้วัน ผมคิดว่ามันจะทำให้ทั้งแฟนการ์ตูนและคอหนังแอ็คชั่นต้องพอใจ"

Judge Dredd ถือกำเนิดขึ้นมากว่า 3 ทศวรรษที่แล้ว และ ตุลาการเดร็ดด์ ก็กลายเป็นตัวละครหนึ่งในหนาประวัติศาสตร์ มีทั้งการ์ตูน นิยาย นิตยสาร บอร์ดเกม เกมคอมพิววเตอร์ แอ็คชั่นฟิกเกอร์ เครื่องเล่นพินบอล รวมถึงหนังบล็อคบัสเตอร์ และกลุ่มแฟนคลับที่พากันแต่งตัวเป็น ตุลาการเดร็ดด์ ในงานอีเว้นท์การ์ตูนทั่วโลก

ช่วงปลายทศวรรษที่ 70 หนังสือการ์ตูนของอังกฤษอย่าง 2000AD ขายได้มากกว่า 100,000 ฉบับต่อสัปดาห์ หนึ่งในลูกค้าก็คือ อเล็ก การ์แลนด์ นักเขียนนิยายและบทหนังชื่อดัง ที่ติดใจกับความมืดหม่นและความรุนแรงของ Dredd "ผมอายุ 10 กว่าขวบตอนที่รู้จักกับ 2000AD ครั้งแรก ผมเสพติดกับทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Judge Dredd ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็กผู้ชายทุกคนในยุคนั้น ผมจำได้เพราะว่า Dredd มีเรื่องราวที่เป็นผู้ใหญ่ และผมก็อาจเด็กเกินไปตอนที่อ่านมัน มันให้ความรู้สึกเหมือนหนังติดเรทที่คุณต้องแอบเข้าไปดูในโรง"

การ์แลนด์ คือนักเขียนนิยายและบทภาพยนตร์ เขาเขียนนิยายที่เน้นเรื่องสำรวจสภาพจิตใจ แง่มุมของศีลธรรม และเรื่องราวที่เข้มข้น เช่น The Beach, The Tesseract และ The Coma รวมถึงบทภาพยนตร์ของหนังฮิตอย่าง 28 Days Later, Sunshine และ Never Let Me Go โดยเขาเล่าถึงสาเหตุที่อยากนำการ์ตูนมาสร้างเป็นหนังว่า "พ่อของผมเป็นนักเขียนการ์ตูน และผมเคยคิดว่าสักวันจะเจริญตามรอยพ่อ ดังนั้นผมจึงได้เรียนรู้การเล่าเรื่องด้วยภาพ ผมคิดว่าการ์ตูนมีความเป็นภาพยนตร์ ทั้งความยาวของแต่ละตอน ความเร็วของการดำเนินเรื่อง มันจึงเป็นเทคนิกที่ผมนำมาใช้ในการเขียนนิยายและบทภาพยนตร์"

ผู้ให้กำเนิดตุลาการเดร็ดด์ จอห์น แวกเนอร์ ก็เห็นด้วยกับแนวทางของ การ์แลนด์ ที่มีต่อผลงานของเขา โดยเชื่อว่าเสน่ห์ของ เดร็ดด์ คือส่วนผสมระหว่างความดีและความชั่วในตัวเอง "เดร็ดด์ เป็นสุดยอดตุลาการที่คุณเข้าใจและนับถือในสิ่งที่เขาทำ แต่ในใจคุณก็คงคิดว่าโชคดีแล้วที่เขาไม่มีอยู่จริง ส่วนผสมระหว่างความดีและความชั่วถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างตัวละครที่เป็นตำนาน ถึงแม้ เดร็ดด์ จะไม่เคยมองตัวเองเป็นผู้ร้าย เพราะเขาเชื่อในความยุติธรรมและความถูกต้อง แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่คุณต้องการให้อยู่ใกล้ๆแน่"

ถึงแม้ว่า Dredd จะเคยถูกสร้างในเวอร์ชั่นปี 1995 ที่นำแสดงโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน แต่มันก็ไม่ใช่หนังที่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร รวมถึงไม่ได้จับเอาเสน่ห์ของ ตุลาการเดร็ดด์ มาถ่ายทอดเลย การ์แลนด์ เผยว่า "มันเป็นเรื่องน่าแปลกที่เราได้ลิขสิทธิ์เรื่องนี้มา เพราะถ้าหนังปี 1995 กลายเป็นหนังฮิต พวกเราก็คงไม่มีโอกาสสร้างมัน มันเป็นโอกาสของพวกเรา และพวกเราก็เข้าใจความคาดหวังของคนดู ที่รู้สึกผิดหวังกับเวอร์ชั่นปี 1995 โดยตั้งแต่แรกเลยเราก็ต้องการทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เป็นบางสิ่งที่ฮาร์ดคอร์และซื่อตรงกับการ์ตูนมากที่สุด"

อีกหนึ่งผู้อำนวยการสร้าง อัลลอน ไรช์ คิดว่า การร่วมมือกันระหว่าง แวกเนอร์ และ การ์แลนด์ จะทำให้ Dredd มีความพิเศษที่สุด "อเล็ก เป็นแฟนพันธุ์แท้หนังสือการ์ตูน เขาโตมากับ Dredd อาศัยอยู่ในโลกของเมกะซิตี้วัน แถมยังเป็นคนเขียนบทที่มีประสบการณ์มานาน ในขณะเดียวกันจินตนาการของ แวกเนอร์ ก็ทำให้มันเป็นหนังที่ทุกคนรอคอย"

แต่การเขียนบทภาพยนตร์ก็ไม่ใช่งานง่าย การ์แลนด์ เล่าถึงกระบวนการว่า "ผมเริ่มเขียนบทหนังโดยมีตัวละครผู้ร้ายที่ชื่อ ตุลาการเดท ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของ เดร็ดด์ ซึ่งก็เป็นดร๊าฟ์แรกที่ จอห์น อ่าน แต่ผมก็กลับมาคิดว่าบางทีเรื่องราวที่เราต้องการเล่าอาจใหญ่เกินไป เราไม่สามารถถ่ายทอดตำนานของ เดร็ดด์ ได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาชั่วโมงกว่า และนั่นก็คือข้อผิดพลาดของหนังเวอร์ชั่นแรก ที่มันมีสโคปที่กว้างเกินไป ในที่สุดผมก็ตัดสินใจถ่ายทอดชีวิตของ เดร็ดด์ ภายในวันเดียว ซึ่งผมคิดว่าเหมาะกับแนวทางของเรามากกว่า"

มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานจากไอเดียจนถึงสู่บทที่สมบูรณ์ ซึ่งสุดท้ายแล้วทุกคนก็รู้สึกว่า บทนี้มีความเข้มข้นและบ่งบอกตัวตนของ เดร็ดด์ ได้ดีที่สุด ผู้กำกับ พีท ทราวิส เผยว่า "ผมได้อ่านบทของ อเล็ก และรู้สึกทึ่งไปเลย ผมคิดว่าเขาสร้างเรื่องราวที่ไม่เพียงทำให้แฟนการ์ตูนพอใจ แต่ยังรวมถึงผู้ชมทั่วไปอีกด้วย Dredd อาจเป็นโลกอนาคตที่ไม่ได้ไกลจากปัจจุบันนัก ผมคิดว่าเขาสร้างตัวละครที่จับเอาความสนใจของคุณได้ทันที"

การคัดเลือกนักแสดง

ผู้อำนวยการสร้าง อัลลอน ไรช์ พูดถึงมุมมองของเขาต่อตัวละครนำของ Dredd ว่า "เดร็ดด์ เป็นตัวละครที่สุดโต่ง เขาคือตุลาการทมิฬที่ความยุติธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่าง กฏต้องเป็นกฏ เขาจัดการกับทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น เขาทำให้สิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุด เดร็ดด์ เป็นตัวละครที่ได้แรงบันดาลใจจาก Dirty Harry และเป็นการ์ตูนที่ทุกคนรักและจดจำไว้มานานเกือบ 4 ทศวรรษ"

ทีมงานต้องการนักแสดงที่เขามาถ่ายทอดความเคร่งขรึม และไม่กลัวกับการเป็นฮีโร่ที่ไร้ความปราณีที่สุดในโลกการ์ตูน ซึ่ง คาร์ล เออร์บัน นักแสดงที่มีผลงานในหนังบล็อคบัสเตอร์อย่าง Star Trek และ Lord of the Rings ก็ได้ยินว่ามีการนำการ์ตูนเรื่องนี้มาทำเป็นหนังอีกครั้ง เขาก็รู้สึกสนใจทันที โดยเผยว่า "ผมสนใจเพราะผมเองก็เป็นแฟนการ์ตูนเรื่องนี้ ดังนั้นผมเลยได้นัดพบกับ อเล็ก, แอนดรูว์, อัลลอน และ พีท เพื่อรับฟังว่าพวกเขาจะทำให้มันแตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อนยังไง และจะซื่อตรงกับต้นฉบับมากแค่ไหน ซึ่งพวกเขาก็สัญญาว่ามันจะมีทั้งความดิบ สมจริง รุนแรง และเป็นหนังแอ็คชั่น-ผจญภัยที่เหมือนกับการ์ตูนมากที่สุด นั่นทำให้ผมอยากรับบทเป็น เดร็ดด์ ทันที"

เออร์บัน เล่าว่าเขารู้จักกับ ตุลาการเดร็ดด์ ครั้งแรกจากหนังสือการ์ตูน "ผมเริ่มอ่านตั้งแต่อายุ 16 ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กส่งพิซซ่าในเมืองเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ ผมเป็นแฟนของแนวไซ-ไฟอยู่แล้ว และรู้สึกตื่นเต้นไปกับภาพของมหานครเมกะซิตี้วัน และผมก็ยังชอบ เดร็ดด์ เขาเป็นคนที่ระห่ำ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เด็ดขาดที่สุด บนโลกที่กระบวนการทางกฏหมายเปลี่ยนไป มันไม่มีการขึ้นโรงขึ้นศาลอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างถูกรวมเอาไว้ในคนเดียว ตั้งแต่บัดนั้นผมก็ชอบฮีโร่ที่เป็นพวกศาลเตี้ย และ ตุลาการเดร็ดด์ ก็เป็นตัวละครที่สุดยอดที่สุด"

เออร์บัน เล่าต่อว่า "คุณต้องรับบทเป็นผู้ชายที่ทำงานที่ยากที่สุดในสังคม ในโลกอนาคตที่กำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ สำหรับผมแล้ว เขาก็เหมือนกับนักดับเพลิงในเหตุการณ์ 9/11 เขาเป็นวีรบุรุษที่มีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนหรือสไปเดอร์แมน มันถือเป็นงานที่ท้าทายสำหรับผมในฐานะนักแสดง ที่พยายามจะใส่เอาเลือดเนื้อเข้าไปในตัวละคร และมันก็ยากตรงที่คุณต้องถ่ายทอดอารมณ์ โดยไม่มีใครเห็นสายตาของคุณเลยตลอดทั้งเรื่อง"

เออร์บัน เผยว่า เขาชอบรับบทตัวละครที่มีด้านมืด "แนวทางที่ผมเข้าไปหาตัวละครก็คือ การหาจุดอ่อนและจุดบอดของพวกเขาและถ่ายทอดมันออกมาให้มีมิติที่สุด เดร็ดด์ เป็นเหมือนกาต้มน้ำที่อารมณ์ของเขาะพร้อมระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ เขาไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมปกติได้อีกแล้ว ผมคิดว่านั่นคือโศกนาฏกรรม เพราะเขาได้รับหน้าที่ในการปกป้องคนในสังคม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนที่เขาปกป้องได้"

นอกจากเรื่องของสภาพจิตใจแล้ว สภาพร่างกายก็ยังเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับการรับบทเป็น เดร็ดด์ ที่ต้องมีการออกโรงบู๊ที่เข้มข้น เออร์บัน เผยว่า "นี่เป็นบทที่ต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกาย เมื่อผมเข้ามาร่วมงานในช่วงพรีโปรดักชั่น ผมก็ต้องเข้ายิมเพื่อให้ทำตัวเองพร้อมกับสิ่งที่ต้องเจอระหว่างการถ่ายทำ ผมฝึกฝนร่างกายอย่างหนักในช่วง 2 อาทิตย์ครึ่ง ซึ่งรวมถึงเทคนิกการใช้อาวุธ การเข้าจู่โจมแบบหน่วยสวาท และเคลื่อนไหวร่างกายขณะที่กำลังโดนโจมตี มันเป็นสิ่งที่คุณจะไม่ได้เจอในชีวิตปกติ"

เออร์บัน เห็นด้วยกับแนวทางที่สมจริงของ Dredd นั่นก็คือการใช้อาวุธที่มีอยู่จริงในโลก ในขณะเดียวกันพาหนะของ เดร็ดด์ ก็ถูกเรียกว่า "ลอว์มาสเตอร์" ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซด์ขนาด 500 ซีซี ที่มีรูปร่างที่ใหญ่โตน่าเกรงข่าม มีปืนกลติดอยู่บนตัวถัง และมีล้อที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะใช้กับมอเตอร์ไซด์ เขาพูดถึงพาหนะคู่ใจนี้ว่า "นอกจากที่มันจะถอดแบบมาจากการ์ตูนแล้ว ผมคิดว่ามันสำคัญที่จะได้เห็นผมบนมอเตอร์ไซด์คันนั้น และได้ขี่มันจริงๆบนท้องถนน เราจึงไม่มีการใช้บลูสกรีนหรือกรีนสกรีนในการถ่ายทำ เมื่อคุณเห็น เดร็ดด์ อยู่บนมอเตอร์ไซด์ นั่นก็คือผมกำลังขี่มันอยู่จริงๆ"

การถ่ายทอดการแสดงให้ตรงกับสิ่งที่ การ์แลนด์ ต้องการ มีความสำคัญสำหรับ เออร์บัน และเขาก็ดีใจที่ได้พบกับผู้ให้กำเนิด Dredd "ผมโชคดีที่ได้พบกับ จอห์น แวกเนอร์ เขาเป็นผู้ชายที่เยี่ยมมาก จริงๆแล้วผมก็รู้สึกประหม่านิดหน่อย เพราะเมื่อคุณพบกับคนให้กำเนิด คุณก็อยากจะทำให้ได้ตามเป้าหมาย มันเป็นแรงกดดัน แต่น่าดีใจที่เขามีพอใจกับสิ่งที่พวกเราทำ ผมคิดว่าเขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่พวกเราใส่เข้าไปในภาพยนตร์"

ไรช์ เผยว่า พวกเขาต้องการหานักแสดงมารับบทเป็น เดร็ดด์ ก่อนที่จะหาคนที่จะเข้ามารับบทเป็น แอนเดอร์สัน คู่หูคนใหม่ของเขาที่มีพลังจิต "พวกเราพบกับนักแสดงมากมาย และ โอลิเวีย เทิร์ลบี้ ที่ถ่ายหนังในมอสโคว์ก็ส่งเทปออดิชั่นของเธอมาให้เรา ซึ่งเธอก็ยอดเยี่ยมมาก จากนั้นเราก็ได้นำตัวเธอมาทดสอบบทคู่กับ คาร์ล ที่ลอนดอน ซึ่งพวกเขาก็มีเคมีร่วมกันออย่างน่าทึ่ง"

เทิร์ลบี้ เป็นนักแสดงดาวรุ่งที่แจ้งเกิดจากผลงานอินดี้เรื่อง Juno โดยรับบทเป็นเพื่อนสนิทของนางเอก เธอเผยว่าว่าบทภาพยนตร์ที่สนุกทำให้เธอต้องการเข้ามารับบทเป็นคู่หูของ เดร็ดด์ "อเล็ก การ์แลนด์ เขียนบทภาพยนตร์ที่น่าทึ่งและสนุก เพียงแค่บทพูดประโยคแรกของ แอนเดอร์สัน ฉันก็อยากสวมบทเป็นเธอทันที ฉันรู้สึกเชื่อมต่อถึงเธอ ฉันอัดเทปออดิชั่นส่งไปให้พวกเขา ผ่านไปสามอาทิตย์ฉันนึกว่าพวกเขาคงเลือกคนอื่นไปแล้ว แต่ทันใดนั้น อเล็ก ก็โทรมาหาฉัน และไม่นานฉันก็ได้ไปทดสอบบทกับ คาร์ล ที่ลอนดอน"

แอนเดอร์สัน ถือเป็นตัวละครโปรดของแฟนๆการ์ตูน จอห์น แวกเนอร์ เผยว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างตัวละครนี้จากนักร้องนำวง Blondie อย่าง เด็บบี้ แฮร์รี่ ในขณะที่ เดร็ดด์ ไม่เคยถอดหมวก แต่ แอนเดอร์สัน ก็ไม่เคยสวมหมวก เนื่องจากมันจะรบกวนความสามารถพิเศษของเธอ นั่นก็คือพลังจิต แอนเดอร์สัน เป็นเหมือนตัวแทนของคนธรรมดาที่อยู่ท่ามกลางสงคราม

เทิร์ลบี้ พูดถึงการรับบทเป็นตุลาการมือใหม่ในโลกที่โหดร้ายนี้ "มันเป็นงานหินที่สุดสำหรับ แอนเดอร์สัน ตั้งแต่วันแรก เธอต้องสูญเสียและค้นพบตัวเองภายในวันเดียวกัน เธอต้องเสียสละบางอย่างเพื่อที่จะทำในสิ่งที่เธอมีความสามารถในการทำ ในตอนแรกเธอต้องการทำให้ทุกคนพอใจ และพยายามทำตามกระบวนการ แต่เมื่อหนังดำเนินไปความสุ่มเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นจนไปถึงจุดของความเป็นและความตาย เธอต้องถูกบีบบังคับเพื่อที่จะเป็นตัวของตัวเองที่สุด"

ผู้กำกับ พีท ทราวิส กล่าวชมถึงนักแสดงสาวดาวรุ่งว่า "ผมคิดว่า โอลิเวีย เป็นนักแสดงที่มีความเข้มแข็งมากที่สุดคนหนึ่ง และเธอก็นำจุดนั้นมาใส่ในตัวของ แอนเดอร์สัน เธอมีสายตาที่ทำให้คุณพร้อมที่จะเอาใจช่วยเธอ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ด้วยตัวเองยามจำเป็น"

เทิร์ลบี้ พูดถึงความแตกต่างระหว่างสองตุลาการว่า "เดร็ดด์ อยู่ในโลกสีขาวและดำ ในขณะที่ แอนเดอร์สัน อยู่ในพื้นที่สีเทา ที่ทุกสิ่งทุกอย่างทุกอย่างไม่ชัดเจน มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองจากมุมไหน และนั่นทำให้เธอยังมีความเป็นมนุษย์ภายในสังคม เธอเข้าใจสิ่งที่ทุกคนต้องเจอในชีวิตประจำวัน เธอรู้สึกได้ถึงความสุขสูงสุดและความเศร้าต่ำสุด นั่นเป็นเพราะเธอสัมผัสได้จากคนอื่นๆ"

ความสามารถพิเศษของ แอนเดอร์สัน นำไปสู่สถานการณ์ที่เข้มข้น ซึ่ง เทิร์ลบี้ ก็ยอมรับว่าส่งผลถึงการแสดงของเธอเช่นกัน "แอนเดอร์สัน สามารถสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของผู้คน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารแห่งนี้ที่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นเต็มไปหมด เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรับเอาความเจ็บปวดทั้งหมดที่ทุกคนรู้สึก และนั่นเป็นสิ่งที่ลำบากสำหรับเธอ ความสามารถพิเศษของเธอเหมือนกับคำสาบ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย"

เทิร์ลบี้ เผยว่าการฝึกสตันท์และการใช้อาวุธ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการรับบทเช่นกัน "ฉันรู้สึกภูมิใจที่ตัวเองสามารถใช้ปืนได้คล่องแคล่ว และมันก็เป็นความรู้สึกที่ดีในการได้รู้ว่า คุณจะเคลื่อนไหวไปตามระเบียงหรือสถานที่เปิดโดยไม่ถูกโจมตีได้ยังไง ฉันยังได้เรียนรู้การหมุนเตะ ซึ่งเป็นอะไรที่ยากมาก รวมถึงการต่อสู้พื้นฐาน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในขอบเขตที่ทำให้คุณเชื่อว่า แอนเดอร์สัน สามารถทำได้ตามศักยภาพของตัวเองจริงๆ"

นักแสดงชาวอังกฤษ ลีน่า เฮดี้ ที่เป็นที่รู้จักจากการรับบทเป็น ซาร่าห์ คอนเนอร์ ในซีรี่ย์คนเหล็ก Terminator: The Sarah Connor Chronicles และล่าสุดกับซีรี่ย์สุดฮิต Game of Thrones โดยเธอเองก็เคยรับบทในหนังแอ็คชั่นที่สร้างจากการ์ตูนมาแล้วอย่าง 300 ครั้งนี้เธอรับบทเป็นศัตรูตัวเอ้ มา-ม่า ที่เป็นตัวการของยาเสพติดที่ชื่อ "สโล-โม" ที่ระบาดอย่างหนักในเมกะซิตี้วัน เธอพูดถึงตัวละครนี้ว่า "มา-ม่า เป็นผู้หญิงที่ไม่แคร์สิ่งที่คนอื่นรู้สึกหรือคิด และเธอก็ทำตามที่ตัวเองอยากทำ เธอเป็นอาชญากรที่เหี้ยมโหดที่สุด ฉันได้ทำในสิ่งที่คุณคิดว่าไม่เคยเห็นทำมาก่อน"

การ์แลนด์ เสริมต่อถึงตัวละครผู้ร้ายว่า "มา-ม่า มีชีวิตที่ลำบาก มันถึงจุดที่เธอตัดสินใจมอบเรื่องเลวร้ายทั้งหมดกลับคืนไปให้แก่โลก เธอทำเรื่องโหดร้ายที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แต่คุณก็ยังจะเข้าใจถึงเหตุผลที่เธอทำมัน เธอมีแนวคิดที่ว่า ทำไมฉันถึงต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเดียว มันเป็นเหมือสัญชาตญาณเอาตัวรอดของสัตว์ป่า และเส้นทางของเธอก็มาพบกับ เดร็ดด์ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด"

เบื้องหลังการสร้าง

การถ่ายทำ Dredd ในระบบสามมิติ เป็นสิ่งที่ต้องมีการเตรียมงานอย่างหนัก ผู้อำนวยการสร้าง แอนดรูว์ แม็คโดนัลด์ เข้าใจว่า ถ้าพวกเขาอยากสร้างหนังในระบบสามมิติ ก็ต้องมีผู้กำกับภาพที่มีศักยภาพ และมีมุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ ในที่สุดทีมงานก็ได้ผู้กำกับภาพ แอนโธนี่ ด็อด แมนเธิล ที่มีผลงานอย่าง The Last King of Scotland และ 28 Days Later รวมถึงได้รับรางวัลอสออสการ์จากผลงานภาพที่มีสีสันและงดงามที่สุดอย่าง Slumdog Millionaire

สัญชาตญาณของ แม็คโดนัลด์ ถูกต้อง เมื่อ Dredd กลายเป็นหนังสามมิติที่มีมุมมองแตกออกไปจากหนัง 3D ทั่วไป คาร์ล เออร์บัน ที่รับบทเป็น เดร็ดด์ ก็เผยว่า "พวกเรารู้สึกโชคดีที่สุดในโลกเมื่อได้ ด็อด มาเป็นผู้กำกับภาพ มันเป็นเรื่องแปลกที่หนังแอ็คชั่นจะได้ผู้กำกับดีกรีออสการ์มาทำงาน ซึ่งมุมมองของเขาในการทำหนังสามมิติก็น่าทึ่งและมีความสดใหม่ในเวลาเดียวกัน"

แมนเธิล ก็เผยว่า การถ่ายทำในระบบ 3D ทำให้เขาต้องศึกษามากขึ้นในเรื่องของความลึกตื้นของภาพ "มันทำให้ผมคิดมากขึ้นถึงระยะไกล-ใกล้ ไม่ว่าจะเป็นแนวตั้งหรือแนวนอน คุณได้เรียนรู้แนวทางใหม่ๆเมื่อเข้ามาสัมผัสกับระบบนี้ ในขณะเดียวกันผมก็มองไปถึงแรงบันดาลใจของหนัง ซึ่งเมื่อได้อ่านบทภาพยนตร์ของ อเล็ก มันก็ทำให้ผมจินตนาการไปถึง Dirty Harry, Dog Day Afternoon หรือหนังในยุคแรกๆของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า"

เมกะซิตี้วัน เป็นศูนย์กลางของเรื่องราวใน Dredd เออร์บัน พูดถึงโลกใบนี้ว่า "ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องราวในหนึ่งวันของ เดร็ดด์ แต่มันก็ยังเกี่ยวกับผู้คนที่อาศัย และบรรยากาศที่เกิดขึ้นในโลกใบนั้น ซึ่ง อเล็ก เองก็ทำหน้าที่อย่างยอดเยี่ยมในการอธิบายถึงชีวิตของประชาชน ช่วยให้หนังมีเลือดเนื้อมากขึ้น สภาพสังคมที่ทั้งน่าหดหู่และสิ้นหวัง และยังทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตต้องมีการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด"

แม็คโดนัลด์ เล่าว่าพวกเขาต้องการทำให้ เมกะซิตี้วัน เป็นเมืองที่ทั้งน่าจดจำ "Dredd เป็นเรื่องราวในโลกอนาคต หนังเวอร์ชั่นแรกนั้นพยายามสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แต่ผมอยากสร้างความรู้สึกที่อาคารเก่าและใหม่ผสมผสานกันภายในเมือง ที่อาจดูสับสนวุ่นวายและควบคุมไม่ได้ อย่างเช่น เซา เปาโล, เม็กซิโกซิตี้, จาร์กาต้า หรือโจฮันเนสเบิร์ก”

การ์แลนด์ อธิบายว่า "เมกะซิตี้คือเมืองที่น่ากลัว มันใหญ่ สับสนวุ่นวาย และไร้การควบคุม แต่ละโซนที่อยู่อาศัยก็ดูยิ่งใหญ่มหาศาล มันเหมือนกับเมืองเล็กๆภายในเมืองอีกที มีทุกสิ่งทุกอย่างอยูในนั้น คุณสามารถเกิด แก่ เจ็บ ตายได้โดยที่ไม่ต้องออกไปจากเมืองเลย และมันก็เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับหนังเรื่องนี้ เมืองเป็นเหมือนกับหนึ่งในตัวละคร และโซนที่อยู่อาศัยแต่ละโซนก็เป็นเหมือนกับตัวละครอื่นๆ"

ทีมงานได้ไปถ่ายทำกันในฟิล์มสตูดิโอที่เคปทาวน์ที่เพิ่งถูกสร้างใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างเมืองเมกะซิตี้วัน ซึ่งหนังกว่า 70% ก็ถ่ายทำกันในนั้น แม็คโดนัลด์ เล่าว่า "มันมีฉากใหญ่อยู่หนึ่งถึงสองฉาก อย่างเช่นฉากที่ มา-ม่า และแก๊งค์ของเธอสาดกระสุนปืนกลฆ่าคนบริสุทธิ์นับร้อย เพราะ เดร็ดด์ ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มันเป็นฉากที่ต้องใช้ถึง 10 วันในการถ่ายทำ มีนักแสดงสมทบมากมาย และต้องใช้ถึง 8 ฉากทั้งในและนอกสถานที่ และผสมผสานด้วยเอฟเฟ็คที่เพิ่มความสมจริง ผมคิดว่ามันออกมาน่าทึ่ง"

ทีมงานของ Dredd ได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งผู้ให้กำเนิดและทุกคน นี่จึงเป็นเหมือนกับการรีบู้ทแฟรนไชส์หนังแอ็คชั่นที่มาจากการ์ตูนคลาสสิก คาร์ล เออร์บัน กล่าวสรุปว่า "มันมีความทะเยอทะยานในสิ่งที่พวกเราทำในหนังเรื่องนี้ พวกเราพยายามทำลายกำแพงขอบเขต นี่คือต้นกำเนิดที่คุณจะได้ทำความรู้จักกับ เดร็ดด์ และ แอนเดอร์สัน คุณก็จะได้เห็นโลกของเมกะซิตี้วัน สภาพความเป็นอยู่และสังคมที่อยู่ในนั้น ผมหวังว่าทุกอย่างจะถูกขยายความมากขึ้น ถ้าเรามีโอกาสได้ทำการผจญภัยครั้งต่อไป"

ทีมนักแสดง

คาร์ล เออร์บัน (รับบทเป็น เดร็ดด์)

นักแสดงชาวนิวซีแลนด์ คาร์ล เออร์บัน เป็นที่รู้จักจากการรับบทเป็น เอโอแมร์ ในภาคที่สองและสามของไตรภาพมหากาพย์ The Lord of the Rings ของผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็คสัน รวมถึงบทบาท เลโอนาร์ด "โบนส์" แม็คคอย นายแพทย์ประจำยานรบ ในหนังบล็อคบัสเตอร์เรื่อง Star Trek โดยเขายังรับบทนักฆ่าชาวรัสเซียใน The Bourne Supremacy ของผู้กำกับ พอล กรีนกราส

ในปี 2010 เออร์บัน รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ที่ไล่ล่ากลุ่มพระเอกใน Red ประกบกับซุปเปอร์สตาร์รุ่นเก๋าอย่าง บรูซ วิลลิส, มอร์แกน ฟรีแมน, จอห์น มัลโควิช และ เฮเลน มิเรน ผลงานเรื่องอื่นๆของเขาก็ยังมี Preist 3D หนังแอ็คชั่น-ไซไฟ ที่นำแสดงโดย พอล เบ็ตตานี่ และ Pathfinder หนังแอ็คชั่นในยุคไวกิ้งที่เขารับบทนำ

ในปี 2012 นอกจากที่เขาจะได้แสดงเป็น ตุลาการเดร็ดด์ ที่เขาใฝ่ฝันมานานแล้ว เออร์บัน ยังได้กลับไปรับบทเป็น เลโอนาร์ด "โบนส์" แม็คคอย อีกครั้งใน Star Trek 2 ที่มีกำหนดฉายในปี 2013

โอลิเวีย เทิร์ลบี้ (รับบทเป็น แคสซานดร้า แอนเดอร์สัน)

นักแสดงดาวรุ่งที่มีพื้นเพจากนิวยอร์ค เทิร์ลบี้ สร้างชื่อครั้งแรกในหนังอินดี้สุดฮิตของผู้กำกับ เจสัน ไรท์แมน เรื่อง Juno ที่เธอรับบทเป็นเพื่อนสนิทของ จูโน่ ที่รับบทโดย เอลเลน เพจ รวมถึงบทบาทในหนังที่ได้รางวัลขวัญใจคนดูจากเทศกาลหนังซันแด๊นซ์อย่าง The Wackness ร่วมแสดงกับ เบน คิงส์ลี่ย์

เทิร์ลบี้ ยังมีผลงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Snow Angels ของผู้กำกับ เดวิด กอร์ดอน กรีน ร่วมแสดงกับ แซม ร็อคเวลล์ และ เคท เบคคินเซล, Margaret ที่ร่วมแสดงกับ แอนนา พาควิน และ มาร์ค รัพฟาโล่ รวมถึงหนังตลาดอย่าง No Strings Attached ที่นำแสดงโดย นาตาลี พอร์ทแมน และ แอชตัน คุชเชอร์ และ New York, I Love You หนังรอม-คอมรวมดาว ที่ตอนตอนเธอได้ประกบคู่กับ ไชอา เลอเบิฟ

ผลงานในปีนี้ของเธอก็คือ Being Flynn ประกบคู่กับ โรเบิร์ต เดอนิโร, จูลี่แอนน์ มัวร์ และ พอล ดาโน่, Dredd 3D หนังแอ็คชั่นสุดมันส์ ที่ประกบคู่กับ คาร์ล เออร์บัน รวมถึง Nobody Walks ที่เธอร่วมแสดงกับ จอห์น คราซินสกี้ และ โรสแมรี่ เดอวิทท์

ลีน่า เฮดี้ (รับบทเป็น มา-ม่า)

ลีน่า เฮดี้ เป็นที่รู้จักจากการรับบทเป็น ซาร่าห์ คอนเนอร์ ในซีรี่ย์คนเหล็ก Terminator: The Sarah Connor Chronicles และล่าสุดกับซีรี่ย์สุดฮิต Game of Thrones โดยเธอเองก็เคยรับบทในหนังแอ็คชั่นที่สร้างจากการ์ตูนมาแล้วอย่าง 300

ผลงานเรื่องอื่นของ เฮดี้ ก็ยังมี The Broken หนังสั่นประสาท ที่เธอรับบทเป็นผู้หญิงที่เห็นคู่เหมือนของเธอบนถนนของลอนดอน, The Red Baron ที่เธอรับบทเป็นภรรยาของ บารอน วอน ริชโธเฟ่น นักบินที่เลื่องชื่อชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และหนังอัตชีวประวัติเรื่อง Vivaldi ประกบคู่กับ โจเซฟ ไฟนส์ ที่รับบทป็นนักประพันธ์เพลงในตำนาน

ในปี 2006 เฮดี้ ยังได้แสดงในหนังระทึกขวัญเรื่อง The Cave ภาพยนตร์แนวแฟนตาซีผจญภัยเรื่อง The Brothers Grimm ซึ่งร่วมแสดงกับ แมท เดมอน และ ฮีธ เลดเจอร์ และภาพยนตร์แนวโรแมนติค คอมเมดี้เรื่อง Imagine Me & You โดยร่วมแสดงกับ ไปเปอร์ เพอราโบ และ แมทธิว กู้ด

ดอมเนลล์ กลีสัน (รับบทเป็น แคลน เทคคี่)

ผลงาน >>> Harry Potter and the Deathly Hallows: Part 1 & 2

วู้ด แฮร์ริส (รับบทเป็น เคย์)

ผลงาน >>> ซีรี่ย์ The Wire, Next Day Air, Not Easily Broken

ทีมงาน

พีท ทราวิส (ผู้กำกับ)

ผลงาน >>> Vantage Point, Endgame

อเล็ก การ์แลนด์ (ผู้เขียนบท / อำนวยการสร้าง)

ผลงาน >>> 28 Weeks Later, Sunshine, The Beach

แอนโธนี่ ด็อด แมนเธิล (ผู้กำกับภาพ)

ผลงาน >>> Slumdog Millionaire, 28 Days Later, The Last King of Scotland, 127 Hours

มาร์ค ดิ๊กบี้ (ผู้ออกแบบงานสร้าง)

ผลงาน >>> Slumdog Millionaire, 28 Days Later, Sunshine, Never Let Me Go

จอห์น ทัม (ผู้ดูแลวิชวลเอฟเฟ็ค)

ผลงาน >>> TRON: Legacy, Resident Evil: Afterlife, The Chronicles of Narnia: Prince Caspian

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๙ สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๗:๑๐ GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๗:๔๓ เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๖:๓๖ เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4
๑๖:๐๘ DITP GIT ปลื้ม!!! งาน Bangkok Gems ครั้งที่ 69ประสบความสำเร็จล้นหลาม ผลจากความเข้มแข็งและเป็นหนึ่งเดียวของภาครัฐ-เอกชนร่วมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก
๑๖:๔๓ ผถห. SISB อนุมัติจ่ายปันผลปี 66 อัตรา 0.31 บ./หุ้น
๑๖:๓๘ วว. ให้บริการทดสอบของอัตราส่วนไอโซโทปของธาตุ ด้วยเครื่องไอโซโทปเรโชแมสสเปคโตรเมตรี
๑๖:๑๘ Open Banking ช่วยสร้างคุณค่าบริการทางการเงิน: ทิศทางธุรกิจของภาคธนาคารและสถาบันการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
๑๖:๒๑ NPS จิตอาสาร่วมปรับภูมิทัศน์ โครงการสร้างความสามัคคีทำความดีเพื่อแผ่นดิน
๑๖:๐๗ NPS ส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัดเทศบาล ต.เขาหินซ้อน