ทั้งนี้ในส่วนของโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเป็น โครงการให้เอกชนเข้าร่วมทุนฯ ในวงเงินรวมมากกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เชื่อมต่อ 3 ท่าอากาศยานสำคัญ คือท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา ทำให้การเดินทางระหว่างเขตเมืองและเขตธุรกิจเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และยังทำให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ในเชิงพาณิชย์มูลค่ามหาศาล
สำหรับโครงการดังกล่าวมีระยะทางรวม 220 กิโลเมตร มีแนวเส้นทางเชื่อมโยงสนามบินสำคัญของประเทศ เริ่มต้นที่ท่าอากาศยานดอนเมือง วิ่งตรงเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อ ผ่านสถานีมักกะสัน เลี้ยวเข้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มุ่งหน้าต่อไปตามแนวทางรถไฟสายตะวันออก เข้าสู่สถานีฉะเชิงเทราแล้วข้ามแม่น้ำบางปะกง สถานีชลบุรี สถานีศรีราชา สถานีพัทยา และเข้าสู่สนามบินอู่ตะเภาเป็นสถานีสุดท้าย จำนวน 9 สถานี โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มีส่วนร่วมในการออกแบบแนวคิดเบื้องต้น จัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เอกสารประกวดราคา ในระยะที่ 1 ของโครงการ (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) และศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้นในระยะที่ 2 (ส่วนต่อขยาย ระยอง - จันทบุรี – ตราด) และจากนี้จะเป็นขั้นตอนในส่วนการควบคุมงานก่อสร้างโครงการ ระยะที่ 1
“การที่บริษัทยังคงได้รับงานในช่วงภาวะวิกฤตโควิด-19 อย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพความแข็งแกร่งของบริษัท และการได้รับความไว้วางใจในการทำงานที่มีคุณภาพจากลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นที่ปรึกษาควบคุมการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งเป็นโครงการที่สำคัญที่สุดโครงการหนึ่งของรัฐบาล เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก บริษัทภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงภาวะวิกฤต โดยโครงการเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้มูลค่างานในมือ (Backlog) มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ” ดร.อภิชาติกล่าว