ฮาคุโซ เริ่มเปิดสำนักงานผู้แทนที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อตอบรับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน หลังจากนั้นในปี 2560 ได้เปิดสำนักงานผู้แทนอีกแห่งหนึ่งในประเทศไทย พร้อมจัดตั้ง สำนักงานสาขาเต็มรูปแบบในปี 2562 โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ขณะนี้ฮาคุโซกำลังดำเนินงานก่อสร้างโรงงานในพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 2 ซึ่งถือเป็นฐานผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นแห่งแรกของอาคุโซ ในเฟสแรกจะใช้พื้นที่ 3 ไร่ (ราว 4,800 ตารางเมตร) จากที่ดินทั้งหมดที่ซื้อจากบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2562 ทั้งสิ้น 9 ไร่ (ราว 14,400 ตารางเมตร)
โดยโรงงานแห่งใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการในปี 2564 เพื่อผลิตอุปกรณ์การพยาบาล อาทิ สินค้าประเภทป้องกันการติดเชื้อ (Infection Control) พลาสเตอร์ ชุดทำแผลพร้อมน้ำยาฆ่าเชื้อ สินค้าปลอดเชื้อ Sterile แผ่นซับเลือดสำหรับการศัลยกรรมระบบประสาท (Cottonoid) สินค้าประเภทการศัลยกรรมจักษุ (Eyes Stick) ตลอดจนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สำหรับการทำความสะอาดและดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล ทั้งนี้ฮาคุโซ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นเริ่มดำเนินธุรกิจผลิตผ้าก๊อซและผ้าปิดแผล ต่อมาได้ขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมการรักษาทางการแพทย์ในรูปแบบต่าง ๆ
มร. เดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและการลงทุนระหว่างประเทศ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ดับบลิวเอชเอ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับบริษัท ฮาคุโซ เมดิคอล เอเชีย จำกัด สู่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 2 การลงทุนครั้งนี้จะช่วยยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 กลุ่มภายใต้โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางแพทย์ นับว่าเป็นการเริ่มต้นธุรกิจในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ทุกคนเริ่มหันมาใส่ใจและตื่นตัวเรื่องสุขภาพมากขึ้น ตลอดจนตระหนักถึงความสำคัญของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขอนามัย”
มร. โคอิชิโร ซาซากิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮาคุโซ เมดิคอล เอเชีย จำกัด กล่าวว่า “เราได้ไปเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งก่อนที่จะตัดสินใจเลือกนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 2 เนื่องจากทีมงานของดับบลิวเอชเอ มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานในการให้บริการลูกค้าชาวต่างชาติ เราจึงได้รับคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ ทำให้ธุรกิจของเราพร้อมดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น”
“ประเทศไทย มีทำเลที่ตั้งอันเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โรงงานของเราก็อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยใช้เวลาขับรถเพียง 90 นาทีเท่านั้น” มร. ซาซากิ กล่าวเสริมว่า “ข้อดีอีกประการหนึ่งคือเราสามารถหาวัตถุดิบในการผลิตจากในไทยโดยตรงได้ถึงร้อยละ 70 – 80 ซึ่งในอนาคตเรามีแผนที่จะจัดซื้อวัตถุดิบทั้งหมดในประเทศไทยอีกด้วย”
โรงงานแห่งนี้จะดำเนินการผลิตเพื่อจัดจำหน่ายในตลาดไทย ก่อนที่จะส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
