นายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TFG) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในครึ่งหลังของปี 2560 คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นไปตามแผนและยุทธศาสตร์ Year of Growth หรือปีแห่งการเติบโต และเชื่อมั่นว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากฐานเดิมปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 20,779.59 ล้านบาท และรักษาระดับผลกำไรได้ต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากรายได้จากการขายสินค้าส่งออกไปแล้วล่วงหน้าในราคาเฉลี่ยที่สูงขึ้น อีกทั้งมีการสั่งซื้อวัตถุดิบล่วงหน้านำเข้ากากถั่วเหลืองที่มีต้นทุนแน่นอน และอัตราแลกเปลี่ยนที่ดอลลาร์อ่อนลง ตลอดจนการบริหารประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงบริหารต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำลง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังต้องบริหารความเสี่ยงทางการเงิน ราคาตลาด ต้นทุนวัตถุดิบ และ อัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องรวมทั้งต้องมีมาตรการป้องกันโรคระบาด ของไก่และสุกร อย่างระมัดระวังขั้นสูงสุด
"ภาพรวมธุรกิจในครึ่งหลังของปีนี้มั่นใจว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่มีรายได้รวม 12,053 ล้านบาท เติบโต 27.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 759 ล้านบาท เติบโตขึ้น25.0% เทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 607 ล้านบาท บนฐานเดียวกันในปีที่แล้ว กำไรต่อหุ้นสะสมครึ่งปีแรกอยู่ที่ 0.14 บาทต่อหุ้น โดย TFG บริษัทแม่ สามารถล้างขาดทุนสะสมได้ทั้งหมดแล้ว และมีกำไรสะสมกว่า 470 ล้านบาท"นายเชิดศักดิ์กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TFG) กล่าวอีกว่า บริษัทฯได้มีการปรับพอร์ตการขายเข้าสู่ตลาดที่มีมาร์จิ้นสูงขึ้น และควบคุมต้นทุนเบื้องต้นให้ลดลง ทำให้สามารถเพิ่มกำไรสุทธิได้ เนื่องมาจากการขยายปริมาณและราคาสูงขึ้น จากรายได้ไก่ ในประเทศและส่งออก ส่วนธุรกิจสุกร มีสัดส่วนกำไรน้อยลง ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง ผลักดันให้ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2560 รายได้จากการขายสินค้าทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ แตะที่ 6,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงต้นทุนการขายและบริการปรับตัวลดลง ทำให้ กำไรขั้นต้นพุ่งแรง ถึง 1,065 ล้านบาท หรือ17.2%
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2560 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ หลังหักภาษีเท่ากับ 601 ล้านบาท หรือ 9.7% ของรายได้รวม หรือ เท่ากับ 0.12 บาทต่อหุ้น (ในส่วนนี้มีขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ชีวภาพสุทธิจากภาษีเงินได้ เพียง 1 ล้านบาท) ซึ่งเมื่อบวกขาดทุนส่วนนี้กลับ จะมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเท่ากับ 602 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14.4% เมื่อเปรียบเทียบกับ ไตรมาส 2 ปี 2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเท่ากับ 526 ล้านบาท (เป็นกำไรสุทธิ 670 ล้านบาท หักด้วยกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมฯ 144 ล้านบาท)
หากเปรียบเทียบกับ ไตรมาส 1 ปีนี้ ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 158 ล้านบาท ไตรมาส 2 นี้ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตขึ้นถึง 281.0%