ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนปรับโครงสร้างการดำเนินงานจากเดิมที่ดำเนินธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการเป็นธุรกิจหลัก สู่การเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านการบริหารจัดการโครงการแบบครบวงจร (Main Information Consultant) โดยจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพร้อมให้ข้อมูลตั้งแต่ก่อนก่อสร้างจนถึงก่อสร้างแล้วเสร็จ ตั้งเป้าหมายเติบโต 25% ต่อปี รายได้แตะ1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10%
ทั้งนี้ลักษณะการดำเนินงานของธุรกิจ Main Information Consultant จะเน้นการจัดเก็บข้อมูล ให้คำปรึกษา บริหารจัดการโครงการก่อสร้างแบบครบวงจร ครอบคุมทั้งการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ งานออกแบบ งานวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการ และงานบริหารจัดการอาคารพลังงาน ซึ่งจะเข้ามาเสริมการดำเนินงานของบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการยังคงเติบโตในเกณฑ์ดี โดยไตรมาสแรกทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการ Mega Project อีกทั้งบริษัทสามารถประมูลงานอาคารสำนักงานได้อีกหลายแห่ง มูลค่ารวม 50-60 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะงานโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ เช่น โครงการรถไฟฟ้าทางคู่ เฟส 2 และรถไฟใต้ดิน คาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดประมูลตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/61 เป็นต้นไป ปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ที่ 324 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2564
ธุรกิจบริหารจัดการอาคารและอสังหาริมทรัพย์ให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาคารพลังงานภายใต้ บริษัท สะพัฒน์ โปรเจค จำกัด ขณะนี้มีการเซ็นสัญญากับลูกค้าทั้งหมด 5 โครงการ เริ่มดำเนินงานและทยอยรับรู้รายได้แล้วบางส่วน และยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายราย
ส่วนบริษัท PPSD บริษัทย่อยดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบงานด้านวิศวกรรม มีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท ขณะที่บริษัท Swan & Maclaren (Thailand) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่ได้ลงนามในสัญญารับงานออกแบบโครงการ "เลซโซ่ มอลล์ เฟส1" มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 40% โดยจะสามารถรับรู้รายได้และกำไรส่วนที่เหลือภายในปีนี้หรือหลังจากที่โครงการแล้วเสร็จ
ดร.พงศ์ธร กล่าวต่อไปว่า ผลประกอบการปี 2560 บริษัทมีรายได้รวม 396.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 319.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.11 % และมีกำไรสุทธิ 55.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32.17 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 71.46%
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 31.91 ล้านบาท หรือคิดเป็น 68.05% ของกำไรสุทธิปี 2560 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล(Record Date) ในวันที่ 9 พ.ค.61 และกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 23 พ.ค.61 (ขออนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 25 เม.ย. 61 )