นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานของกองทุน K-USA มีความโดดเด่นโดยสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้ในรอบ 1 ปีบัญชีที่ผ่านมามีการจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้นคิดเป็นเป็นอัตราจ่ายปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ 7.2% ต่อปี โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน ให้ผลตอบแทนที่ 9.18% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 2.22% และผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีให้ผลตอบแทนที่ 18.78% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 10.37% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 61)
"สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา ตัวเลขประมาณการรอบแรกของ GDP ไตรมาส 1/2561 แม้จะชะลอตัวจากผลกระทบของการใช้จ่ายผู้บริโภค แต่ดัชนีที่สำคัญทางเศรษฐกิจที่ทยอยประกาศออกมาส่วนใหญ่ชี้ถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่วนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาสแรกส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่ระดับราคาหุ้นที่ค่อนข้างแพง ทำให้ความน่าสนใจยังมีน้อยกว่าภูมิภาคอื่นในเชิงเปรียบเทียบ และยังคงต้องจับตามาตรการทางภาษีเพื่อกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน" นายนาวินกล่าว
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า สำหรับผลดำเนินงานของกองทุน K-ASIA มีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 5.33% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 3.18% ขณะที่กองทุน K-INDIA มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วง 3 ปี และ 5 ปีย้อนหลัง โดยช่วง 3 ปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 10.29% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 8.63% ต่อปี และช่วง 5 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 12.49% ต่อปี เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 9.30% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 61) ด้านภาพรวมเศรษฐกิจเอเชียยังคงเติบโตด้วยแรงหนุนจากการปฏิรูปของภาครัฐบาล รวมถึงการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวได้ดี บวกกับอานิสงส์จากการส่งออกที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจทั่วโลกเติบโตสอดคล้องกัน ส่งผลบวกต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน และระดับราคายังถือว่าไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจอินเดียปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีที่แล้ว หลังได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้ภาษีสินค้าและบริการที่ประกาศใช้ในปีที่ผ่านมา ด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจในระยะยาวจากภาครัฐยังคงดำเนินต่อไปแต่คาดว่ายังไม่มีวาระใหม่ที่มีนัยยะพอต่อ sentiment ตลาด ทั้งนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการลงทุนและรัฐบาลที่ยังคงหามาตรการต่างๆ เพื่อออกมาควบคุมปัญหาขาดดุลงบประมาณ ขณะที่ระดับราคาหุ้นแม้จะปรับตัวลงมา แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตและโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวแรงอย่างปีที่แล้วน่าจะมีจำกัด
ด้านผลการดำเนินงานกองทุน K-EUROPE ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี และ3 ปี อยู่ที่ 1.16% และ 3.93% ต่อปี ตามลำดับ เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 0.53% และ 2.27% ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 61) ส่วนเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคยุโรปมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตที่ยืนเหนือระดับ 60 จุด ครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี สะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการคงนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรปยังสนับสนุนสภาพคล่องไปอย่างน้อยถึงไตรมาส 3 ของปีนี้ ส่วนประเด็นความเสี่ยงทางการเมืองลดลงและการเจรจา Brexit คืบหน้าไปในทางบวก ประกอบกับระดับราคาหุ้นที่สมเหตุสมผลและยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ทำให้หุ้นยุโรปมีความน่าสนใจ รวมถึงหุ้นยุโรปตัวเล็กที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากในภูมิภาคเป็นหลักและมีแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในที่แข็งแกร่ง
ผู้ลงทุนที่สนใจกองทุน K-USA กองทุน K-ASIA กองทุน K-INDIA และกองทุน K-EUROPE สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือติดต่อ KAsset Contact Center 02673 3888
กองทุน รอบผลการดำเนินงาน อัตราเงินปันผล (บาท/หน่วย)
K-USA 1พฤษภาคม2560 -30เมษายน2561 0.20
K-EUROPE 1สิงหาคม2560 -30เมษายน2561 0.20
K-ASIA 1พฤศจิกายน2560 -30เมษายน2561 0.20
K-INDIA 1กุมภาพันธ์2561 - 30เมษายน2561 0.20
*คิดจาก NAV วันที่ 30 เม.ย. 61
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ.กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายหน่วยลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจึงอาจจะขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้