ทั้งนี้รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณาจำนวน 16.61 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.32 จากธุรกิจคลังสินค้า และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 4.68 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.76 ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจท่กำลังฟื้นตัว และมีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากผลขาดทุนที่ยังไม่ได้รับรู้ จากอัตราแลกเปลี่ยน (Unrealized Loss on Foreign Exchange) ในโครงการลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น
สำหรับงวด 9 เดือน บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 774.068 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.17 และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 71.809ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน จำนวน 256.723 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 6,722.109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.54 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2560 โดยมีหนี้สินรวม 2,776 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5.03 และส่วนของผู้ถือหุ้น 3,946.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.87 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2560
นายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวว่า "ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธในการดำเนินงาน โดยเฉพาะในธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านที่มีการแข่งขันสูงมาก ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ และจะสามารถคงการเจริญเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน บริษัทฯก็ได้มีการควบคุมและบริหารต้นทุนการดำเนินงานทั้งหมด ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความซ้ำซ้อน และสิ้นเปลือง เพื่อเพิ่มอัตราผลกำไร (Profit Margin) ซึ่งถือว่าการลงทุนที่บริษัทฯได้ลงทุนไปในช่วงปีที่ผ่านมาจะสะท้อนให้เห็นถึงผลตอบแทนและเม็ดเงินกำไรที่น่าพอใจในอนาคต"