ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม (SMEs) ยังคงกังวลเรื่องยอดขายลดลงในขณะที่ต้นทุนสินค้าจะเพิ่มขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า วอนรัฐช่วยเหลือต้นทุนวัตถุดิบ สาธารณูปโภค และแรงงาน

พฤหัส ๒๖ กันยายน ๒๐๑๙ ๐๘:๕๗
ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SMEs ภาคการและบริการ (TSSI) ประจำเดือน มิถุนายน 2562ซึ่งสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการจำนวน 1,400 ราย พบว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการยังคงลดลงในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นผลจากความวิตกกังวลเรื่องกำไรและยอดขาย เห็นได้จากดัชนี TSSI ปัจจุบัน ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 81.8 ในเดือนมิถุนายน (ลดลงจากเดือนพฤษภาคม ที่ระดับ87.2) นอกจากนี้ ยังเป็นการปรับลดลงต่ำกว่าระดับ 100 ในเกือบทุกสาขาธุรกิจ โดยดัชนีความเชื่อมั่นของSMEs ในภาคการค้าส่งลดเหลือ 87.0 ภาคการค้าปลีกลดเหลื อ 83.0 ภาคบริการลดเหลือ 79.2(ยกเว้นธุรกิจค้าส่ง ธุรกิจสินค้าเกษตร และธุรกิจค้าปลีกสถานีบริการน้ำมันที่แม้ระดับความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแต่ก็ยังต่ำกว่าระดับ 100)

นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่าองค์ประกอบดัชนีด้านกำไรปรับตัวลดลงมากที่สุดมาอยู่ที่ระดับ 58.2 ในเดือนมิถุนายน (ลดลงจาก 71.0 ในเดือนพฤษภาคม) รองลงมาคือดัชนีองค์ประกอบด้านยอดจำหน่ายซึ่งปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 61.0 ในเดือนมิถุนายน (ลดลงจาก 70.8 ในเดือนพฤษภาคม) ระดับความเชื่อมั่นปัจจุบันของเดือนมิถุนายนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง และอยู่ในระดับ ต่ำกว่า 100 ในเกือบทุกสาขาสะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นที่ยังหดตัว ผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย เนื่องจากอำนาจซื้อของประชาชนที่หดตัวความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ และ การเมืองที่ยังไม่เป็นปกติ การชะลอตัวของนักท่องเที่ยวเงินบาทที่แข็งค่าซึ่ง ส่งผล กระทบความสามารถในการแข่งขัน และ บรรยากาศ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นปัจจุบันปรับตัวในทิศทางลดลง"

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูความเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจ TSSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (หรือเดือนกันยายน)ปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 100.2 จุด (ลดลงจาก 100.8 จุด จากผลสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม) แต่ยังยืนเหนือระดับ 100 เนื่องจากผู้ประกอบการยังคาดหวังว่าจะมีงบประมาณภาครัฐหรือเม็ดเงินจากมาตรการต่างๆ ตามที่ได้เคยหาเสียงไว้กระจายลงสู่พื้นที่

สำหรับความกังวลของผู้ประกอบการจากดัชนี TSSI ใน 3 เดือนข้างหน้า เป็นเรื่องยอดจำหน่าย ต้นทุนและการจ้างงาน เห็นได้จากองค์ประกอบดัชนีด้านยอดจำหน่ายที่ลดลงมาที่ระดับ 101.4 จากผลสำรวจในเดือนมิถุนายน (ลดลงจาก ระดับ 103.0 จากผลสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม) องค์ประกอบดัชนีด้านต้นทุนที่หดตัวลงเหลือ 86.8 (จากระดับ 88.4 จากผลสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม) และองค์ประกอบดัชนีด้านการจ้างงานที่หดตัวลงเหลือ 98.2 (จากระดับ 98.8 เมื่อเดือนพฤษภาคม)

นายสุวรรณชัยยังกล่าวต่อไปว่า ผลสำรวจระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน - 11 กรกฎาคม พบว่าผู้ประกอบการ SMEs ยังต้องการให้รัฐช่วยแก้ไขใน 5 เรื่อง ได้แก่ ช่วยแก้ไขปัญหาค่าวัตถุดิบ การสร้างเครือข่ายหรือส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรวมตัวกัน (ร้อยละ 54.14) เป็นตัวกลางจัดหาแหล่งวัตถุดิบราคาถูก(ร้อยละ 45.65) ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในทุกภาคธุรกิจให้ความเห็นว่าการสร้างเครือข่ายให้ผู้ประกอบการมีความสำคัญมาก ยกเว้นผู้ประกอบการค้าส่งที่เห็นว่าการให้ภาครัฐเป็นตัวกลางจัดหาวัตถุดิบมีความสำคัญกว่าการช่วยแก้ไขปัญหาค่าสาธารณูปโภค ด้วยการส่งเสริมให้ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน (ร้อยละ35.12) สนับสนุนค่าใช้จ่ายขั้นต่ำให้ธุรกิจ (ร้อยละ 34.55) ให้ความรู้ในการบริหารจัดการใช้สาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพ (ร้อยละ 30.26) ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการใช้สาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนผู้ประกอบการกรุงเทพ ปริมณฑลและภาคเหนือ รวมถึงผู้ประกอบกิจการภาคค้าส่งและค้าปลีกให้ความสำคัญกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายขั้นต่ำให้ธุรกิจมากกว่าการช่วยแก้ไขปัญหาราคาเชื้อเพลิง ด้วยการเป็นตัวกลางจัดหาเชื้อเพลิงราคาถูก (ร้อยละ 50.04)และสนับสนุนให้ใช้อุปกรณ์/เทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงาน (ร้อยละ 49.60)ช่วยแก้ไขปัญหาค่าแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพแรงงาน (ร้อยละ 37.18)สนับสนุนเงินทุนสวัสดิการให้แรงงาน (ร้อยละ 33.12) สนับสนุนอุปกรณ์เทคโนโย ลีเพื่อลดการใช้แรงงาน(ร้อยละ 29.61)

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังคงต้องการให้รัฐช่วยแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของกิจการ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ทั้งการจัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ (ร้อยละ 24.91) การปล่อยสินเชื่อเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยคงที่(ร้อยละ 22.52) การปรับลดเงื่อนไขการกู้ยืมสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก (ร้อยละ 22.16) การงดเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมการขอสินเชื่อ (ร้อยละ 17.46) การสนับสนุนอุปกรณ์เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการทางการเงิน (ร้อยละ 12.94) ในขณะที่การยกเว้นภาษีมีผู้เห็นด้วยเพียงร้อยละ 0.02 "ผู้ประกอบการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และผู้ประกอบการค้าปลีกมีความเห็นว่าการปรับลดเงื่อนไขการยื่นกู้สำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กมีความสำคัญมากที่สุด ในขณะที่ผู้ประกอบการภาคใต้เห็นว่าการให้สินเชื่อระยะยาวดอกเบี้ยคงที่มีความสำคัญกว่า"

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๐ เม.ย. มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตอกย้ำปณิธาน สร้างชีวิต มอบเครื่องเล่นสนาม อุปกรณ์ครุภัณฑ์ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่เด็กนักเรียนในส่วนภูมิภาค ณ โรงเรียนวัดนาร่อง อ.เมือง
๓๐ เม.ย. เฮงลิสซิ่ง จับมือ วิริยะประกันภัย เสนอ ประกันภัยอุ่นใจ ทางเลือกใหม่สำหรับประกันภัยคุ้มครองบ้าน
๓๐ เม.ย. ม.วลัยลักษณ์-สมาคมกีฬาตะกร้ออาวุโส-สมาคมกีฬา จ.นครศรีฯ เอ็มโอยูเตรียมระเบิดศึกตะกร้อเยาวชนฮอนด้า ยูเนี่ยน
๓๐ เม.ย. หลักสูตรการประยุกต์ใช้ NODE-RED ในงานอุตสาหกรรม เชื่อมต่อ CLOUD PLATFORM NEXIIOT
๓๐ เม.ย. ม.วลัยลักษณ์ คว้า 2 รางวัลระดับโลก 3G Award 2024
๓๐ เม.ย. YouTrip เปิดอินไซต์ช่วงหยุดยาวคนไทยแห่เที่ยว ญี่ปุ่น-จีน ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 150%
๓๐ เม.ย. คณะการท่องเที่ยวฯ DPU ให้ความสำคัญต่องานบริการ จัด HT Makeup Competition 2024 เพิ่มทักษะแต่งหน้าให้กับ นศ.
๓๐ เม.ย. กิจกรรมดี ๆ สำหรับเยาวชนหญิงที่หลงใหลศิลปะการทำอาหาร ในโครงการ Women for Women (WFM) Internship Program ร่วมฝึกงานในร้านอาหารโพทง
๓๐ เม.ย. ผู้ถือหุ้น CIVIL โหวตอนุมัติ จ่ายปันผล 0.012 บาท/หุ้น ทิศทางธุรกิจปี 67 เติบโตต่อเนื่อง
๓๐ เม.ย. PRM จัดประชุม E-AGM ปี 67 อนุมัติจ่ายปันผล 0.26บ./หุ้น