บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าเติบโต ด้วยกลยุทธ์ Investor Focus พาลูกค้าฝ่าวิกฤตตลาดโลกผันผวน ด้วยผลตอบแทนพอร์ตแนะนำขั้นต่ำ 3%

จันทร์ ๒๗ มกราคม ๒๐๒๐ ๑๓:๐๘
บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าปี 2563 โดยชูกลยุทธ์ Investor Focus มุ่งเน้นสร้างประสิทธิผลจากการลงทุนให้กับผู้ลงทุนในภาวะตลาดโลกผันผวน ซึ่งประกอบไปด้วย การนำเสนอกองทุนที่สอดรับกับสถานการณ์โลกที่มีความไม่แน่นอน การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านการลงทุนให้ตอบโจทย์ผู้ลงทุนโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และการแนะนำพอร์ตการลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น
บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าเติบโต ด้วยกลยุทธ์ Investor Focus พาลูกค้าฝ่าวิกฤตตลาดโลกผันผวน ด้วยผลตอบแทนพอร์ตแนะนำขั้นต่ำ 3%

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายปี 2563 ว่า บลจ.กสิกรไทย ยังคงตั้งเป้าการเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนด้วยการรักษาฐานลูกค้าเดิม ขยายฐานลูกค้าใหม่ และเพิ่มศักยภาพการลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล โดยมีแผนออกกองทุนใหม่ทั้งที่เป็นกองทุนทั่วไป และกองทุนทางเลือกอย่าง Private Equity Fund รวมแล้วกว่า 6 กองทุน ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงแนะนำกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นไทย กองทุนหุ้นต่างประเทศ และกองทุนผสม เป็นต้น

สำหรับการขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านกองทุน SSF นายวศินมองว่ายังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก โดยเทียบได้จากจำนวนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ในระบบที่มีอายุเฉลี่ยต่ำกว่า 45 ปี และมีศักยภาพเข้าลงทุนในกองทุน SSF ได้ ซึ่งคาดว่ามีอยู่ประมาณ 500,000 ราย หรือ คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนกว่า 50,000 – 70,000 ล้านบาท ส่วนการขยายฐานผ่านการเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ (Online Opening Account) เราได้มองเห็นอัตราการเติบโตของผู้ลงทุนกลุ่มคนรุ่นใหม่จากยอดการเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ในปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ที่มีอายุระหว่าง 20 – 30 ปี ที่ได้เข้ามาเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์ผ่าน App K PLUS และ K-My Funds กว่า 55% นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้เตรียมแนวทางการออกกองทุน SSF เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความต้องการด้านใดด้านหนึ่ง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่ต่ำ (Competitive Fee) เข้าใจได้ง่าย (Easy to Understand) และสอดรับกับกระแสโลก (New Trend) หรือครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน โดยจะต้องเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย สะดวก และปลอดภัยด้วย

"บลจ.กสิกรไทย มุ่งพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ บน App K-My Funds เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุนได้ดียิ่งขึ้น โดยได้มีการออกแบบข้อความคำแนะนำการลงทุนเป็นรายบุคคล (Personalized Messages) กว่า 100 แบบผ่าน Smart Notification เพื่อให้ลูกค้าได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร และสถานการณ์การลงทุนได้ทันท่วงที นอกจากนี้ App K-My Funds ยังมีพอร์ตแนะนำเพื่อเป็นแนวทางให้ลูกค้าได้กระจายการลงทุนตามความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทำกำไรได้ดีกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยจะเห็นได้จากตัวอย่างการลงทุนในปีที่ผ่านมาของพอร์ตแนะนำ FITL และ FITXL

ที่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยซึ่งคำนวณจากดัชนีอ้างอิงอยู่ที่ 7.4% ต่อปี และ 9.9% ต่อปี ตามลำดับ พบว่า มีลูกค้าเพียง 15% เท่านั้นที่ลงทุนด้วยตัวเองและสามารถเอาชนะพอร์ตแนะนำได้ ในขณะที่อีก 85% ไม่สามารถเอาชนะพอร์ตแนะนำได้ อีกทั้งจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังมีสภาพคล่องสูง ในขณะที่มีอัตราการเติบโตต่ำ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางความไม่แน่นอน ซึ่งผู้ลงทุนต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายตลาดประกอบกัน ดังนั้น การกระจายการลงทุนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ลงทุนสามารถใช้พอร์ตแนะนำเป็นแนวทางในการลงทุนได้ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้ตั้งเป้าบริหารพอร์ตแนะนำเพื่อสร้างผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้น้อยที่สุด" นายวศินกล่าว

นายวศินกล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาของ บลจ.กสิกรไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) อยู่ที่ 1.36 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.02 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.77 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.63 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำแนกตามธุรกิจอยู่ที่ 19.5%, 14.7% และ 14.6% ตามลำดับ โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก AIMC ณ 30 ธ.ค. 2562)

สำหรับจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล (Digital-based Users) ในปีที่ผ่านมา มีประมาณกว่า 60% จากจำนวนลูกค้ากองทุนรวมทั้งหมด ซึ่งรวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 300,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล เพิ่มขึ้นอีก 16% จากจำนวนลูกค้ากองทุนรวมทั้งหมด

สำหรับมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2563 บลจ.กสิกรไทย มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกว่ายังคงมีความเสี่ยงจากประเด็นทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ประเด็น Brexit และความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ (Geopolitical Risk) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินของประเทศแกนหลัก ยังคงผ่อนคลายทั้งด้านนโยบายดอกเบี้ย และการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อพันธบัตร เพื่อประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ทำให้ส่งผลดีต่อบรรยากาศการลงทุน ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2563 ที่ประมาณ 6 - 8% โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2563 มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,700 จุด สะท้อน Forward PE ที่ 16.7 เท่า และ Dividend Yield ที่ประมาณ 3.17%

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๘ มี.ค. องค์การบรรจุภัณฑ์โลก จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ร่วมจัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์
๒๘ มี.ค. การแข่งขันกีฬาขี่ม้าโปโลรายการ King Power International Ladies' Polo Tournament 2024
๒๘ มี.ค. DEXON ปักธงรายได้ปี 67 ทะลุ 700 ลบ. โชว์ Backlog เฉียด 280 ลบ. ล็อคมาร์จิ้น 35-40%
๒๘ มี.ค. JPARK ร่วมงาน Dinner Talk ผู้บริหารจดทะเบียนพบนักลงทุน จ.ราชบุรี
๒๘ มี.ค. นีเวีย ซัน และ วัตสัน จับมือต่อปีที่สองชวนดูแลท้องทะเล กับโครงการ เพราะแคร์ จึงชวนแชร์ ร่วมพิทักษ์รักษ์ทะเลไทย
๒๘ มี.ค. Cloud เทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัว เพียงแค่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง
๒๘ มี.ค. โรยัล คานิน ร่วมกับ เพ็ทแอนด์มี จัดงาน Royal Canin Expo 2024: PAWRENTS' DAY เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นสำหรับน้องแมวและน้องหมา
๒๘ มี.ค. STEAM Creative Math Competition
๒๘ มี.ค. A-HOST ร่วมวาน MFEC Inspire ขึ้นบรรยายพร้อมจัดบูธ Cost Optimization Pavilion
๒๘ มี.ค. ฟินเวอร์! ส่องความคิ้วท์ 'ฟอส-บุ๊ค' ควงคู่ร่วมงาน Discover Thailand เสิร์ฟโมเมนต์ฉ่ำให้แฟนๆ ได้ดับร้อนกันยกด้อมรับซัมเมอร์ และร่วมส่งต่อความสุขในกิจกรรม 'Exclusive Unseen Food Trip กับ คู่ซี้