โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus)

อังคาร ๑๗ กรกฎาคม ๒๐๑๘ ๑๔:๓๕
โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำสารคาร์โบไฮเดรต ( ประเภทแป้งและน้ำตาล ) มาใช้ได้ตามปกติ โดยผู้ที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่ เกิดจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม ซึ่งสาเหตุของโรค ยังไม่ทราบแน่ชัดได้ว่าเกิดจากอะไร ทั้งนี้อาจจะเกิดจากการที่ตับอ่อนสร้างฮอร์โมนประเภทอินซูลินไม่เพียงพอ หรืออาจจะสร้างได้เพียงพอแต่มีสารอื่นมาต่อต้านการทำงานของอินซูลิน ทำให้มีสารมาทำลายอินซูลินมากขึ้น และเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกกลุ่ม ซึ่งหากภาวะเบาหวานไปเกิดขึ้นกับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ อาจสร้างความกังวลในการดูแลตัวเองได้ โดยภาวะเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

1. มีอาการเบาหวานเกิดขึ้นก่อนการตั้งครรภ์ ( Pre-Gestational Diabetes Mellitus หรือ Pre-GDM ) เป็นชนิดที่พบได้ทั้งในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ( ผลิตฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนได้น้อย ทำให้ร่างกายขาดอินซูลิน ) หรือเบาหวานชนิดที่ 2 ( ร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินต่ำ ทำให้กระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันผิดปกติไป ) เบาหวานในลักษณะก่อนตั้งครรภ์นี้จะมีความรุนแรงมากกว่าลักษณะที่ 2 โดยตัวโรคจะมีผลต่อการสร้างอวัยวะของทารก ซึ่งอาจทำให้ทารกผิดปกติและทำให้แท้งบุตรได้ง่าย

2. เพิ่งเป็นเบาหวานในขณะกำลังตั้งครรภ์ ( Gestational Diabetes Mellitus หรือ GDM ) เป็นกรณีที่พบได้ประมาณร้อยละ 12.9 ของคุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหมด และพบได้ประมาณร้อย 90 ของเบาหวานที่พบในคุณแม่ตั้งครรภ์ โดยจะพบหลังการตั้งครรภ์ประมาณ 24-28 สัปดาห์ ซึ่งอาจทำให้ทารกตัวโต อวัยวะใหญ่ คลอดได้ยาก ( จากการติดไหล่ของทารก ) และอาจเกิดภาวะการแท้งได้ในระยะใกล้คลอด

แนวทางการรักษาเบาหวานและดูแลตัวเองขณะการตั้งครรภ์

การดูแลรักษาสำหรับคุณแม่ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีจุดประสงค์เพื่อที่จะลดโรคแทรกซ้อนของคุณแม่ และลดอัตราการเสียชีวิตของทารกในครรภ์ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากแพทย์หลาย สาขาร่วมกันระหว่างสูติแพทย์ , อายุรแพทย์ รวมถึงตัวคุณแม่เอง และในวันคลอดก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากกุมารแพทย์ เพื่อมาช่วยเหลือเด็กแรกเกิดและป้องกันหรือลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับแม่และลูก ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ดังต่อไปนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ คุณแม่จะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

2. ต้องควบคุมอาหารให้ถูกสัดส่วนและถูกเวลา

3. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

4. ต้องมารับการตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์นัด

5. ยาที่ใช้รักษาเบาหวานจะต้องใช้แบบชนิดฉีด

6. ในกรณีที่มีความผิดปกติ เช่น คุณแม่มีอาการอ่อนเพลีย, น้ำหนักตัวขึ้นมากเกินไป, ท้องไม่โตขึ้น, ลูกดิ้นน้อยลงหรือหยุดดิ้น, มีอาการของครรภ์เป็นพิษ, มีความผิดปกติอื่นๆ ( อาทิ เบาหวานขึ้นตา ) ให้รีบไปพบแพทย์ก่อนถึงเวลานัดทันที

บทความโดย : แพทย์หญิง วลัยพร เลาหวินิจ เฉพาะทางอายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมตะบอลิซึม โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ศูนย์อายุรกรรมเฉพาะทาง โทร. 02-836-9999 ต่อ 2921-3

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๙:๑๓ นักวิชาการ TEI แนะมุมมองการสร้าง Urban Climate Resilience ต้องเร่งปรับตัวและเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
๐๙:๓๙ TEI เปิดวงเสวนา บทเรียนและทางออกการจัดการกากแคดเมียม ? พร้อมเร่งแก้ปัญหา โจทย์ใหญ่กากแคดเมียม จัดการอย่างไรให้ปลอดภัยและถูกต้อง
๐๙:๒๔ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต ร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่ด้อยโอกาสในโครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรี ณ
๐๙:๑๑ เขตปทุมวันกำชับเจ้าของพื้นที่ตั้งวางสิ่งของ-อุปกรณ์การค้าริมกำแพงส่วนบุคคลให้เรียบร้อย
๐๙:๓๔ ม.หอการค้าไทย ปฐมนิเทศสำหรับผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านนวัตกรรมการบริการ รุ่นที่ 5 (Top Executive Program for Creative Amazing Thai Services :
๐๙:๐๒ เฮงลิสซิ่ง รับรางวัล หน่วยงานส่งเสริมสุขภาพการเงินพนักงาน ระดับดีเด่น โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
๐๙:๔๕ มูลนิธิเฮอริเทจ (ประเทศไทย) ส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดสมุทรสาคร
๐๙:๔๔ พาราไดซ์ พาร์ค ต้อนรับ The Little Gym เปิดสาขาที่ 3
๐๙:๒๕ STI จัดอบรมหลักสูตร ChatGPT ผู้ช่วยงานอัจฉริยะในยุคดิจิทัล เพื่อยกระดับพนักงานสู่ยุค AI
๐๘:๕๑ จีนเปิดตัว เห็ดหลินจืออำเภอกวน ณ งานวันเห็ดโลก ประจำปี 2567