ไมเกรน โรคที่ไม่มีใครสามารถช่วยได้ นอกจากความเข้าใจ

พุธ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๐๒๐ ๐๘:๓๐
แม้ว่า 'โรคไมเกรน' จะยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์แน่ชัดว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่ปัจจัยหลักที่เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคนั้นมีทั้งปัจจัยภายในอย่างสภาพจิตใจ ความเครียด ฮอร์โมน และพันธุกรรม ไปจนถีงปัจจัยภายนอกอย่างสิ่งแวดล้อม และสภาพอากาศ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งเร้าให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและยากที่จะหลีกเลี่ยง จนมีผลกระทบในชีวิตประจำวันและการทำงาน ซึ่งยากที่จะอธิบายให้ใครเข้าใจความเจ็บปวดนี้เพราะมันไม่เหมือนอาการปวดหัวที่คนทั่วไปรู้จัก นอกจากอาการปวดหัวอันรุนแรง ผู้ป่วยไมเกรนมักมองเห็นภาพผิดปกติ อาจจะบิดเบี้ยว เวียนหัว หูและจมูกที่ไว เหมือนสภาพแวดล้อมทางภาพและเสียงที่อยู่รอบตัวคุณเป็นปฏิปักษ์ไปเสียทั้งหมด แม้เพียงกลิ่นน้ำหอมที่เพื่อนข้าง ๆ ใส่ประจำ ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้คุณอาเจียนได้
ไมเกรน โรคที่ไม่มีใครสามารถช่วยได้ นอกจากความเข้าใจ

ผศ.นพ. สุรัตน์ ตันประเวช ผู้เชี่ยวชาญโรคปวดศีรษะ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า "โรค ไมเกรน ถูกจัดอันดับให้เป็นโรคที่คนทำงานนั้นเป็นกันมากที่สุดในโลกและยังนำไปสู่ความทุพพลภาพ หรือเป็นโรคที่มีผลกระทบอย่างมากในการใช้ชีวิต ที่มีระดับความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึงสามเท่า นั่นส่วนหนึ่งเกิดจากฮอร์โมน แพทย์จะวินิจฉัยไมเกรน จากอาการเป็นหลัก โดยที่ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดศีรษะตุบ ๆ คล้ายเส้นเลือดเต้น อาจจะปวดเพียงข้างเดียวหรือปวดพร้อมกัน 2 ข้างก็เป็นได้ และจะเป็นๆ หายๆ บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งนั่นอาจทรมานพอ ๆ กับอาการปวดศีรษะ ทั้งนี้ มากกว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยไมเกรนจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจังและควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก่อนที่จะรักษาได้ยากขึ้น"

ปัจจัยที่ทำให้สามารถเป็นโรคไมเกรนได้นั้น มี 2 ปัจจัยหลักด้วยกันคือ ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไมเกรน คนใดคนหนึ่งในครอบครัวก็สามารถส่งต่อผ่านทางพันธุกรรมจนเป็นโรคไมเกรนได้ และอีกหนึ่งปัจจัยคือ ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น สภาพอากาศ แสง สี เสียง หรือแม้แต่ ความร้อน ซึ่งผู้ป่วยไมเกรนมักไวต่อสิ่งแวดล้อม จนอาจมีอาการร่วมด้วย เช่น ตาสู้แสงจ้าไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งโรคไมเกรนนี้หากมีเพียงปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งก็สามารถเป็นได้ และที่สำคัญ ยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากที่อาการไม่รุนแรงก็กลับกลายเป็นอาการที่รุนแรงและถี่ขึ้น จนอาจถึงขั้นเรื้อรังและรักษาได้ยากในที่สุด ฉะนั้นผู้ป่วยไมเกรนจึงควรหมั่นสังเกตตัวเองว่ามีปัจจัยกระตุ้นใดบ้างที่ทำให้เกิดอาการเนื่องจากแต่ละคนจะมีปัจจัยกระตุ้นที่แตกต่างกัน

การรักษาโรคไมเกรนสามารถรักษาได้ทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยา ซึ่งการรักษาแบบไม่ใช้ยานี้ ประกอบไปด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่น ๆ ที่ไม่ใช้ยาเป็นการรักษาเสริมได้ เช่น การลดความตึงเครียดผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การนั่งสมาธิ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มสาร Endorphin หรือแม้กระทั่ง ดนตรีบำบัด (Music therapy) และ อโรมาเธอราพี (Aromatherapy) ที่ช่วยบำบัดรักษา เพิ่มความผ่อนคลายจากความเครียดได้

กว่า 50% ของผู้ป่วยไมเกรน ยังปรับพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นไม่เพียงพอ ทำให้โรคไมเกรนกำเริบบ่อยได้ โดยการปฎิบัติตัวที่เหมาะสมต่อไมเกรน ได้แก่

- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน: เป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพและการขาดสมดุลน้ำในร่างกาย ทำให้สมองเกิดการปรับตัวที่ผิดปกติ และปวดหัวไมเกรนได้

- หลีกเลี่ยงการอดอาหาร: การทานอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้ไมเกรนกำเริบได้ เนื่องมาจากระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่ต่ำเกินไปจนผลต่อสมองและทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น

- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแก้วปวดมากเกินไป: หากรับประทานยาแก้ปวดติดต่อกันมากกว่า 3-4 วันต่อสัปดาห์ อาจนำไปสู่ "อาการปวดศีรษะเนื่องมาจากการใช้ยาเกินขนาด" ได้ ดังนั้น หากเริ่มปวดศีรษะบ่อย หรือ ใช้ยาแก้ปวดบ่อยขึ้น ควรต้องปรึกษาแพทย์

- พักผ่อนให้เพียงพอและเหมาะสม: อาการปวดไมเกรนจะเกิดขึ้นหากผู้ป่วยไม่มีการจัดตารางการนอนให้เหมาะสม ซึ่งผู้ป่วยส่วนมากอาจเข้าใจว่าโรคไมเกรนเกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอเท่านั้น แต่ความจริงแล้วการนอนหลับมากเกินไป เช่น เกินกว่า 8-9 ชั่วโมงก็เป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคไมเกรนได้

- รักษาอาการปวดเฉียบพลันให้ถูกต้อง: หากเกิดอาการปวดไมเกรนขึ้น ผู้ป่วยไม่ควรอดทนและละเลยกับอาการเหล่านั้น ทางที่ดีให้รีบหาที่นั่งพัก ซึ่งควรเป็นที่เงียบสงบเพื่อเลี่ยงสิ่งกระตุ้น อาจใช้ผ้าชุบน้ำเย็นวางประคบบนหน้าผาก ทานยาแก้ปวด นอกจากนี้ การนวดศีรษะก็อาจทำให้บรรเทาอาการปวดไมเกรนได้เช่นกัน

- จดสิ่งกระตุ้นไมเกรน เช่น อาหารกระตุ้นไมเกรน: อาหารบางชนิดที่รับประทานอยู่ทุกวัน อาจเป็นตัวการทำให้ผู้ป่วยปวดไมเกรนได้โดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรคไมเกรน ได้แก่ อาหารจำพวกชีส ถั่ว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารไนเตรตในอาหาร (Nitrate) ซึ่งมักพบได้ในไส้กรอก เบคอน และอาหารแปรรูปชนิดอื่นๆ

สุดท้ายนี้ เพราะโรคไมเกรนมักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ และส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน ต้องขาดงาน ขาดเรียนบ่อย ๆ จนอาจถูกเพ่งเล็งในทางลบจากคนในองค์กร ดังนั้น "ความเข้าใจจากคนรอบข้าง" จึงสำคัญมาก อย่างไรก็ตามความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายพูดคุยและรับฟังซึ่งกันและกัน ผู้ป่วยควรบอกเล่าถึงอาการที่เกิดขึ้นให้คนรอบข้างรับรู้เพื่อสร้างความเข้าใจ ในขณะที่คนรอบข้างเองก็ควรเปิดใจรับฟัง ทำความเข้าใจ และให้ความช่วยเหลือในส่วนที่สามารถช่วยได้ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และมีความสุขได้ไม่จำกัดแม้ต้องอยู่กับไมเกรนก็ตาม

ไมเกรน โรคที่ไม่มีใครสามารถช่วยได้ นอกจากความเข้าใจ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4