การจัดงานดังกล่าว เพื่อร่วมสร้าง “สังคมแห่งการเรียนรู้” โดยนำแนวคิด “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาประยุกต์ใช้กับการวิจัย ซึ่งทุกกิจกรรมจะให้ความสำคัญกับการนำผลจากการลงทุนทางการวิจัยมาสู่การใช้ประโยชน์จริง โดยในงานนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จเป็นองค์ประธานพิธีเปิดภาคนิทรรศการ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2553 โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการเปิดงานภาคการประชุม
ในส่วนของการจัดนิทรรศการ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้กำหนดรูปแบบ ของการนำเสนอนิทรรศการไว้ 8 ประเภท ได้แก่ การปฏิรูปการศึกษา/การปฏิรูปการวิจัย สินค้าและบริการที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา สินค้าเกษตรและอาหารที่สร้างมูลค่าเพิ่ม สิ่งแวดล้อม/โลกร้อน อุตสาหกรรมและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข/โรคอุบัติใหม่/สังคมผู้สูงอายุ ภูมิปัญญาท้องถิ่น/ชุมชน และพลังงานทดแทน ซึ่งโครงการวิจัยลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้เข้าร่วมนิทรรศการแสดงผลงานของโครงการในด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ภายใต้ชื่อผลงาน “โลก’เลสาบ” เพื่อให้สอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการจัดงานในครั้งนี้
ตลอดระยะเวลา 5 วันของการจัดงาน มีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมนิทรรศการโลก’เลสาบ ของโครงการวิจัยลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา เป็นจำนวนมาก เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนเข้าชมนิทรรศการของทางโครงการฯ ตลอดทั้ง 5 วัน ของการจัดแสดง มีจำนวนสูงถึง 1,585 คน ซึ่งผู้เข้าชมงานในครั้งนี้มีตั้งแต่ข้าราชการทุกระดับ นักวิชาการ นักวิจัย นักเรียนนักศึกษา ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป ซึ่งพื้นที่จัดนิทรรศการของโครงการฯ มีผู้ชมให้ความสนใจแทบทุกตารางนิ้วของพื้นที่ที่จัดแสดง การจัดแสดงนิทรรศการในงาน Thailand Research Expo 2010 ในปีนี้ มีหน่วยงานต่างๆ ส่งผลงานเข้าร่วมทั้งสิ้น 559 ผลงาน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้จัดประกวดการจัดนิทรรศการ ในวันที่ 30 สิงหาคม พุทธศักราช 2553 ในพิธีปิดงาน ซึ่งโครงการวิจัยลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา สามารถคว้ารางวัล Silver Award หรือ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 มาได้ ถือเป็นกำลังใจที่ดียิ่งในการทำงานของเจ้าหน้าที่โครงการทุกคน ที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการที่ได้วางไว้ เพื่อให้ชนชาวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ได้รู้รักษ์และหวงแหนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และร่วมกันสืบทอดวีถีชีวิตอันดีงามต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน