นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2556 ถึงปัจจุบันเกิดสถานการณ์อุทกภัยรวม 45 จังหวัด 351 อำเภอ 2,183 ตำบล 17,245 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,112,216 ครัวเรือน 3,643,040 คน คิดเป็นร้อยละ 5.65 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ บ้านเรือนเสียหาย 31,523 หลัง ถนน 5,967 สาย พื้นที่การเกษตรเสียหาย 3,571,038 ไร่ ปศุสัตว์ 1,096,705 ตัว ผู้เสียชีวิต 61 ราย ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 23 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำปาง กำแพงเพชร อุทัยธานี กาฬสินธุ์ มุกดาหาร อำนาจเจริญ ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ยโสธร นครสวรรค์ จันทบุรี ระยอง กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบูรณ์ ชัยนาท สิงห์บุรี สระแก้วและอุตรดิตถ์ นยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 22 จังหวัด 93 อำเภอ 606 ตำบล 4,414 หมู่บ้าน 276,253 ครัวเรือน 809,107 คน คิดเป็นร้อยละ 1.26 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ อพยพ 3,586 ครัวเรือน 7,376 คน ในจังหวัดศรีสะเกษ และอุบลราชธานี แยกเป็น ระดับรุนแรง 2 จังหวัด ได้แก่ ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา
ระดับปานกลาง 7 จังหวัด ได้แก่ นครนายก ชลบุรี อุบลราชธานี ศรีสะเกษ อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และนครราชสีมา ระดับเล็กน้อย 13 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ สุรินทร์ ขอนแก่น พิษณุโลก พิจิตร สระบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และเพชรบุรี แนวโน้มสถานการณ์อุทกภัยในภาพรวมเริ่มคลี่คลายหลายพื้นที่ระดับน้ำลดลง แต่ยังมีน้ำท่วมขังพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ พื้นที่ท้ายเขื่อน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำ รวมถึงพื้นที่ที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่นำทะเลหนุนสูง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสภาพอากาศ พบว่า พายุไต้ฝุ่นนารีได้เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามแล้ว และในวันพรุ่งนี้ (16 ตุลาคม 2556) จะอ่อนกำลังลงเป็นความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อาจส่งผลให้เกิดฝนตกและลมแรงในพื้นที่ 17 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร หนองคาย และบึงกาฬ นายกรัฐมนตรีห่วงผลกระทบจากพายุนารี สั่งการกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานทุกภาคส่วนและจังหวัดเตรียมรับมือ โดยจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ และจัดชุดเคลื่อนที่เร็วพร้อมออกปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศ ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักและลมแรง ส่วนการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดต่างๆ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ประชาชน และติดตั้งป้ายเตือนอันตราย โดยเฉพาะจุดที่มีน้ำท่วมสูงให้ปิดเส้นทางเดินรถ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ พร้อมจัดเรือให้บริการด้านการสัญจรแก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย สำหรับจังหวัดที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายเข้าสู่ขั้นตอนการเยียวยา ได้กำชับให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยร่วมกับจังหวัดจัดเจ้าหน้าที่เร่งสำรวจความเสียหาย โดยเฉพาะในส่วนของบ้านเรือน ทรัพย์สิน และพื้นที่การเกษตร รัฐบาล จะให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ตามหลักเกณฑ์และระเบียบกระทรวงการคลังฯ อาทิ กรณีบ้านเรือนเสียหาย จ่ายค่าวัสดุซ่อมแซมและก่อสร้างที่อยู่อาศัย หลังละไม่เกิน 33,000 บาท กรณีมีผู้เสียชีวิต จ่ายค่าจัดการศพรายละไม่เกิน 25,000 บาท หากเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือผู้หารายได้เลี้ยงครอบครัวจ่ายเงินสงเคราะห์เพิ่มอีก 25,000 บาท นอกจากนี้ ในส่วนของถนนที่ได้รับความเสียหาย ให้ประสานกระทรวงคมนาคม กระทรวงกลาโหม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งซ่อมแซมถนนให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติโดยเร็ว
นายฉัตรชัย กล่าวต่อไปว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ห่วงใยผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา ซึ่งสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง ได้เน้นย้ำให้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายพลเรือน และหน่วยทหาร พร้อมวัสดุอุปกรณ์เสริมกำลังและสนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้าทั้ง 2 จังหวัด และในวันนี้ (15 ต.ค.56) นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม จะได้ลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา เพื่อตรวจสถานการณ์อุทกภัยและเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัย พร้อมรับฟังปัญหาและมอบข้อสั่งการเชิงนโยบายแก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ทั่วถึง เป็นธรรม