จากผลการสำรวจ เมื่อถามถึงช่องทางการติดตามข่าวสารของประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.4 ติดตามข่าวสารผ่านโทรทัศน์ รองลงมาร้อยละ 45.1 ติดตามข่าวสารผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ร้อยละ 37.8 ติดตามข่าวสารผ่านทางหนังสือพิมพ์ ร้อยละ 33.5 ติดตามข่าวสารผ่านทางเว็ปไซด์ต่างๆ ร้อยละ 30.6 ติดตามข่าวสารผ่านทาง Social Media (Line, Facebook, Instagram, twister) ร้อยละ 22.9 ติดตามข่าวสารผ่านทางวิทยุ ร้อยละ 6.9 ติดตามข่าวสารผ่านทางแผ่นพับ/ใบปลิว และร้อยละ 5.6 ติดตามข่าวสารผ่านทางนิตยสาร
คนส่วนใหญ่หรือเกินกว่าครึ่ง ร้อยละ 55.58 เคยพบเห็นหรือรับรู้รับทราบเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในครอบครัว โดยเหตุการณ์ที่พบเห็น เช่น บิดามารดาทะเลาะกัน พ่อเลี้ยงทำร้ายร่างกายลูกเลี้ยง /พ่อเลี้ยงข่มขืนลูกเลี้ยง บุตรหลานติดยาเสพติด แล้วทำร้ายร่างกายคนในบ้าน ทะเลาะวิวาท และการใช้แรงงานเด็ก เป็นต้น และร้อยละ 44.42 ไม่เคยพบเห็นหรือรับรู้รับทราบเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัว
หากพูดถึงประสบการณ์ความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง/คนในครอบครัว พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.54 ไม่เคยมีประสบการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นกับตนเอง/คนในครอบครัว และร้อยละ 17.46 เคยมีประสบการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นกับตนเอง/คนในครอบครัว เหตุการณ์ที่พบ เช่น ทะเลาะวิวาท ชกต่อยกับเพื่อน, เมาสุราแล้วขาดสติ เกิดการทะเลาะวิวาท, มีคนร้ายบุกเข้าบ้าน พยายามฆ่าและลักทรัพย์, ทะเลาะวิวาท เป็นต้น
เมื่อสอบถามสาเหตุที่เกิดปัญหาความรุนแรงมากที่สุด 3 อันดับแรก พบว่า ร้อยละ 45.02 ระบุสาเหตุมาจากการ ดื่มสุรา อันดับที่ 2 ร้อยละ 28.13 ระบุสาเหตุมาจากการทะเลาะวิวาท และอันดับที่ 3 ร้อยละ 26.85 ระบุสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้สารเสพติด จาก 3 สาเหตุแรกดังกล่าวที่ส่งผลต่อความรุนแรงในครอบครัวนั้น ประชาชนมองว่าสถานการณ์ความรุนแรงของปัญหาดังกล่าวอยู่ในระดับที่ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยมีค่าเฉลี่ยระดับความรุนแรงเท่ากับ 7.61 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน
เมื่อสอบถามถึงการตัดสินใจเข้าไปช่วยเหลือหากพบเห็นบุคคลที่กำลังตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.54 เข้าไปช่วยเหลืออย่างแน่นอน ร้อยละ 32.20 ยังไม่แน่ใจ โดยให้เหตุผลว่าขอดูสถานการณ์ก่อนว่ารุนแรงระดับไหน คิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครถูกหรือผิด เป็นต้น และร้อยละ 11.26 ไม่เข้าไปช่วยเหลืออย่างแน่นอน เพราะคิดว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ควรโทรไปแจ้งตำรวจ กลัวโดนทำร้ายไปด้วย ฯลฯ
การแจ้งเบาะแสหากพบเห็นบุคคลที่กำลังตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว พบว่า ร้อยละ 77.61 แจ้งเบาะแส โดยจะแจ้งผ่านช่องทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ โซเชียลมีเดีย วิทยุสื่อสาร แจ้งผู้นำชุมชน สายด่วน 1669 และเว็บไซด์ร้องเรียน ร้อยละ 16.95 ยังไม่แน่ใจ เพราะยังไม่ทราบว่าจะแจ้งช่องทางใด ดูสถานการณ์ก่อนและร้อยละ 5.44 ไม่แจ้งเบาะแส เพราะเป็นเรื่องภายในครอบครัว กลัวปัญหาจะตามมาภายหลัง
หน่วยงาน สถาบัน บุคคล ที่นึกถึงเป็น อันดับแรก ที่ต้องการให้เข้ามาดูแลหรือแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว พบว่า ร้อยละ 33.57 นึกถึงคนในครอบครัว ร้อยละ 25.03 นึกถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ร้อยละ 20.99 นึกถึงผู้นำชุมชน /กำนัน /ผู้ใหญ่บ้าน ร้อยละ 12.95 นึกถึงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (สนง. พมจ. สถานสงเคราะห์ บ้านพักเด็ก) และร้อยละ 2.98 นึกถึงเพื่อนบ้าน เป็นต้น
เมื่อสอบถามถึงกิจกรรมที่จะช่วยสนับสนุนเพื่อลดระดับความรุนแรงในครอบครัวหรือช่วยไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น ประชาชนระบุกิจกรรม 5 กิจกรรม คือ 1) จัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว เพื่อลดความรุนแรงในครอบครัว และมีการจัดกิจกรรมในชุมชน ให้ความรู้ อย่างสม่ำเสมอ 2) จัดกิจกรรมสันทนาการ เช่น ออกกำลังกายสำหรับครอบครัว จัดแข่งขันกีฬา เป็นต้น 3) ส่งเสริมการสร้างอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ให้คนในครอบครัว 4) อบรมการไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมถึงอบายมุขต่างๆ แก่คนในชุมชน 5) เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ออกตรวจอย่างสม่ำเสมอ
ท้ายที่สุดประชาชนให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว 5 ประเด็นแรก ประกอบด้วย ประเด็นที่หนึ่ง คือ คนในครอบครัวควรมีความรู้และเข้าใจกัน ฟังเหตุผล มีเวลาให้กัน ดูแลกันและกัน ประเด็นที่สอง คือ งดดื่มสุรา ยาเสพติด เล่นการพนัน อบายมุขต่างๆ ประเด็นที่สาม คือ จัดกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ให้คนในครอบครัวสามารถทำร่วมกันได้ ประเด็นที่สี่ คือ จัดหาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้คนในครอบครัว ประเด็นที่ห้า คือ เจ้าหน้าที่และผู้นำชุมชนควรให้ความรู้ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบทลงโทษอย่างทั่วถึง
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 39.65 เป็นเพศชาย ร้อยละ 59.59 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 0.76 เป็นเพศทางเลือก ตัวอย่างร้อยละ 19.46 มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 19.65 มีอายุ 20 – 29 ปี ร้อยละ 22.19 มีอายุ 30 – 39 ปี ร้อยละ 18.46 มีอายุ 40 - 49 ปี และร้อยละ 20.24 มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 92.09 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 6.70 นับถือศาสนาอิสลาม ร้อยละ 0.87 นับถือศาสนาคริสต์ และร้อยละ 0.34 นับถือศาสนาอื่นๆ
ตัวอย่างร้อยละ 19.2 จบการศึกษาระดับประถมศึกษา/ต่ำกว่า ร้อยละ 34.41 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา/เทียบเท่า ร้อยละ 13.26 จบการศึกษาระดับอนุปริญญา /เทียบเท่า ร้อยละ 28.26 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี และ ร้อยละ 4.74 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 23.93 ประกอบอาชีพข้าราชการ /ลูกจ้างของรัฐ /พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 8.70 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 14.45 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 9.45 ประกอบอาชีพเกษตรกร /ประมง ร้อยละ 13.07 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป /ใช้แรงงาน ร้อยละ 8.74 พ่อบ้าน /แม่บ้าน /เกษียณอายุ /ว่างงาน และร้อยละ 21.59 นักเรียน /นักศึกษา ตัวอย่างร้อยละ 22.78 ไม่มีรายได้ ร้อยละ32.11 รายได้ไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.07 รายได้ 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 8.49 รายได้ 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 2.77 รายได้ 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 1.95 รายได้มากกว่า 40,000 บาท และร้อยละ 2.77 ไม่ระบุรายได้