จากการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อนักการเมืองที่ถูกตัดสินว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 54.88 ระบุว่า ห้ามสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต รองลงมา ร้อยละ 35.12 ระบุว่า ห้ามสมัครรับเลือกตั้ง 5 ปี ร้อยละ 5.68 ระบุว่า ไม่ห้ามเลย ร้อยละ 1.92 ระบุว่า อื่น ๆ ได้แก่ ห้ามสมัครเป็นระยะเวลา 3 เดือน 3 ปี 4 ปี 10 ปี 15 ปี หรือ 2 สมัย และควรมีการลงโทษตามกฎหมายด้วย และร้อยละ 2.40 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ต้องดูเป็นรายกรณีไป
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการตัดสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองที่ถูกตัดสินว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ควรเริ่มเมื่อใด (เฉพาะผู้ที่ตอบข้อ 1 ว่า ห้ามสมัครรับเลือกตั้ง 5 ปี และห้ามสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 51.82 ระบุว่า ควรเริ่มที่ผู้ที่เคยถูกตัดสินว่าทุจริตต่อหน้าที่ จะถูกห้ามลงสมัครอีก ขณะที่ ร้อยละ 45.42 ระบุว่า เฉพาะผู้ที่ถูกตัดสินหลังจากรัฐธรรมนูญใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว จึงจะถูกห้ามลงสมัครอีก และร้อยละ 2.76 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อนักการเมืองที่ถูกตัดสินว่ากระทำการทุจริตการเลือกตั้ง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.68 ระบุว่า ห้ามสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต รองลงมา ร้อยละ 31.28 ระบุว่า ห้ามสมัครรับเลือกตั้ง 5 ปี ร้อยละ 4.40 ระบุว่า ไม่ห้ามเลย ร้อยละ 1.84 ระบุว่า อื่น ๆ ได้แก่ ห้ามสมัครเป็นระยะเวลา 3 เดือน 3 ปี 4 ปี 10 ปี และควรมีการลงโทษตามกฎหมายด้วย และร้อยละ 0.80 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ต้องดูเป็นรายกรณีไป
ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการตัดสิทธิทางการเมืองกับนักการเมืองที่ถูกตัดสินว่ากระทำการทุจริตการเลือกตั้งควรเริ่มเมื่อใด (เฉพาะผู้ที่ตอบข้อ 3 ว่า ห้ามสมัครรับเลือกตั้ง 5 ปี และห้ามสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 54.48 ระบุว่า ควรเริ่มที่ผู้ที่เคยถูกตัดสินว่าทุจริตการเลือกตั้ง จะถูกห้ามลงสมัครอีก ขณะที่ ร้อยละ 42.77 ระบุว่า ควรเริ่มเฉพาะผู้ที่ถูกตัดสินหลังจากรัฐธรรมนูญใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว จึงจะถูกห้ามลงสมัครอีก และร้อยละ 2.75 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้คะแนนน้อยกว่าคะแนนที่ไม่ประสงค์จะเลือกใคร (โหวตโน) ในเขตการเลือกตั้ง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.12 ระบุว่า ควรยอมให้ผู้สมัครคนนั้นได้ลงสมัครใหม่อีกครั้ง ขณะที่ ร้อยละ 31.44 ระบุว่า ผู้สมัครคนนั้นไม่ควรลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งนั้นอีก และให้พรรคการเมืองส่งคนใหม่แทน และร้อยละ 7.44 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 8.72 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 25.52 มีภูมิลำเนาอยู่ปริมณฑลและภาคกลาง ร้อยละ 18.08 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.52 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 14.16 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 57.76 เป็นเพศชาย ร้อยละ 42.16 เป็นเพศหญิง และร้อยละ 0.08 เป็นเพศทางเลือก ตัวอย่าง ร้อยละ 6.24 มีอายุ 18 – 25 ปี ร้อยละ 18.32 มีอายุ 26 – 35 ปี ร้อยละ 23.92 มีอายุ 36 – 45 ปี ร้อยละ 37.44 มีอายุ 46 – 60 ปี ร้อยละ 12.00 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และร้อยละ 2.08 ไม่ระบุอายุ ตัวอย่าง ร้อยละ 93.36 นับถือศาสนา พุทธ ร้อยละ 3.44 อิสลาม ร้อยละ 0.88 คริสต์ และอื่น ๆ และร้อยละ 2.32 ไม่ระบุศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 19.12 สถานภาพโสด ตัวอย่างร้อยละ 75.76 สมรสแล้ว ตัวอย่างร้อยละ 2.64 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ และร้อยละ 2.48 ไม่ระบุสถานภาพการสมรส
ตัวอย่าง ร้อยละ 27.52 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 30.40 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 7.12 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 25.28 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 6.88 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 2.80 ไม่ระบุการศึกษา ตัวอย่าง ร้อยละ 14.08 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 12.96 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.76 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 17.04 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 15.92 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 12.96 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน ร้อยละ 2.32 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 0.08 ประกอบอาชีพพนักงานองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไร และร้อยละ 2.88 ไม่ระบุอาชีพ ตัวอย่าง ร้อยละ 12.88 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 19.12 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 ร้อยละ 30.00 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 ร้อยละ 13.60 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ร้อยละ 6.48 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001 – 40,000 ร้อยละ 8.48 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมากกว่า 40,001 บาท ขึ้นไป และร้อยละ 9.44 ไม่ระบุรายได้