ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 72.3 ไม่เลือกพรรคใดเลย ในขณะที่ ร้อยละ 14.8 เลือกพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 11.4 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 1.5 เลือกพรรคอื่นๆ เมื่อแบ่งออกตามภูมิภาค พบว่า การตัดสินใจของประชาชนเลือกพรรคการเมืองเหมือนเดิมคือ คนภาคเหนือและภาคอีสานยังคงเลือกพรรคเพื่อไทยคือร้อยละ 17.6 และ ร้อยละ 14.4 ในขณะที่คนภาคใต้เลือกพรรคประชาธิปัตย์ คือร้อยละ 32.7 อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เลือกพรรคการเมืองใดเลย
เมื่อแบ่งออกตามจุดยืนทางการเมือง พบว่า ถ้าต้องตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง คนที่หนุนรัฐบาลเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคเพื่อไทยคือร้อยละ 17.9 ต่อร้อยละ 12.2 แต่คนที่ไม่หนุนรัฐบาลเลือกพรรคเพื่อไทยมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์คือร้อยละ 33.1 ต่อร้อยละ 8.0 ในขณะที่กลุ่มพลังเงียบส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.2 ไม่เลือกพรรคใดเลย
ที่น่าสนใจคือ เมื่อแยกออกตามอาชีพ พบว่า คนว่างงานเลือกพรรคเพื่อไทย แต่เกษตรกรกลับเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า คือร้อยละ 33.3 ของคนว่างงานเลือกพรรคเพื่อไทย แต่ร้อยละ 11.1 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่ เกษตรกรร้อยละ 20.6 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ร้อยละ 14.5 เลือกพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐไม่เลือกพรรคใดเลย คือ ร้อยละ 79.5 แต่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองกลับพบว่ามีสัดส่วนใกล้เคียงกันมากคือ ร้อยละ 9.3 เลือกพรรคเพื่อไทย แต่ร้อยละ 9.8 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เหลือเลือกพรรคอื่นๆ ขนาดกลางและขนาดเล็ก ตามลำดับ
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ซูเปอร์โพล (SUPER POLL) กล่าวว่า ถ้าวิเคราะห์ให้ประชาชนที่ไม่เลือกพรรคใดเลยเป็นค่าคงที่ โมเดลของรัฐบาลในอนาคตจะเป็นรัฐบาลที่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียวได้ ฟันธงได้ว่าต้องเป็นรัฐบาลผสมเหมือนในอดีตหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา ดังนั้นโอกาสสูงที่ พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ และหากเป็นเช่นนั้น โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกับพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นไปได้เช่นกัน แต่ด้วย "เงินและผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร" โอกาสแก่งแย่งชิงอำนาจทางการเมืองก็จะเวียนกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งที่ผ่านมาพรรคการเมืองก็ยังไม่แสดงให้สาธารณชนเห็น "สัญชาตญาณเชิงพฤติกรรมที่ดี" ออกมาว่าจะปฏิรูปตัวเองแต่ประการใด แกนนำพรรคการเมืองส่วนใหญ่ยังคงใช้ "วาทะกรรมปลุกปั่นกระแส โน้มน้าวช่วงชิงประชาชน"
"หากรัฐบาล คสช. และภาคประชาสังคม ไม่ช่วยกันพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ก็มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า ประเทศชาติก็จะตกอยู่ในวัฏจักรแห่งความเลวร้ายของการแก่งแย่งอำนาจ ช่วงชิงผลประโยชน์ ทุจริตคอรัปชั่นและทุกๆ อย่างก็จะวนกลับสู่จุดเดิมซ้ำซาก" ดร.นพดล กล่าว