นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ลงพื้นที่มอบนโยบายแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงานสหกรณ์จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมเปิดเผยว่า ขณะนี้กรมส่งเสริมสหกรณ์มีแนวคิดที่จะทบทวนเพื่อแก้ไขระเบียบว่าด้วยการส่งเสริมสหกรณ์ขึ้นใหม่ เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ยุคปัจจุบัน ซึ่งการดำเนินงานของสหกรณ์มีการเปลี่ยนแปลงไป มีการดำเนินงานและการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งภารกิจของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมสหกรณ์คือการเข้าไปแนะนำกำกับดูแลสหกรณ์ทุกประเภท ซึ่งจะต้องประชุมชี้แจงทำความเข้าใจและมีความใกล้ชิดกับสหกรณ์ให้มากยิ่งขึ้น ให้รู้ถึงสถานการณ์และสภาพปัญหาของสหกรณ์แต่ละแห่ง หากตรวจสอบพบความผิดปกติหรือข้อบกพร่องในการดำเนินงานของสหกรณ์ ก็จะต้องหาแนวทางช่วยเหลือและแก้ไขทันท่วงที และให้รายงานผลต่อนายทะเบียนสหกรณ์ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แนวทางในการแก้ไขระเบียบว่าด้วยการส่งเสริมสหกรณ์นั้น จะกำหนดให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมสหกรณ์ร่วมประชุมกับคณะกรรรมการสหกรณ์และร่วมประชุมกลุ่มสมาชิกสหกรณ์ทุกครั้ง เพื่อรับทราบการกำหนดระเบียบข้อบังคับและกติกาของแต่ละสหกรณ์ และให้ทำหน้าที่ในบทบาทของผู้ตรวจการสหกรณ์ด้วย หากสหกรณ์มีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องหรือขัดกับระเบียบข้อบังคับ ควรให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุง การดำเนินงานเป็นไปตามกรอบวัตถุประสงค์ของสหกรณ์และคำนึงถึงประโยชน์ของสมาชิกเป็นหลัก ซึ่งการกำกับดูแลโดยการเข้าไปตรวจการสหกรณ์ เดิมกำหนดให้เข้าตรวจปีละ 2 ครั้ง จากนี้ไปจะมีการปรับเปลี่ยนให้เพิ่มความถี่ในการเข้าตรวจอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น และขอให้ตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ ซึ่งการตรวจสอบข้อบกพร่องของสหกรณ์แบ่งเป็น 5 ด้านหลัก ๆ ได้แก่ ข้อบกพร่องทางด้านบัญชี ข้อบกพร่องทางการเงิน การดำเนินการนอกกรอบวัตถุประสงค์ หรือมีพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย รวมถึงปัญหาการทุจริตในสหกรณ์ หากตรวจพบข้อบกพร่องหรือปัญหาการดำเนินงานของสหกรณ์ จะต้องประชุมกับคณะทำงานแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีข้อบกพร่องระดับจังหวัด และคณะกรรมการของสหกรณ์เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันว่าจะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร เพื่อหาวิธีแก้ไขให้ตรงจุดให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของแต่ละสหกรณ์ และติดตามผลการแก้ไขข้อบกพร่องของสหกรณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลุกลามในวงกว้างและบานปลาย ซึ่งแผนงานในการยกระดับความเข้มแข็งและแก้ไขข้อบกพร่องของสหกรณ์ทั่วประเทศ ตามนโยบายที่นายกรัฐมนตรีสั่งการ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ปี 2560