การแข่งขันเรือใบใหญ่ประเภทคีลโบ๊ทและมัลติฮัลล์ในปีนี้แบ่งเป็น 12 รุ่น ได้แก่ ไออาร์ซี 0, ไออาร์ซี 1, ไออาร์ซี 2, พรีเมียร์, ไฟร์ฟลาย 850, พัลซ์ 600, ปลาทูวันดีไซน์, มัลติฮัลล์เรซิ่ง, มัลติฮัลล์ครูซิ่ง, โอเพ่น ชาร์เตอร์, แบร์โบ๊ตชาร์เตอร์ และ ครูซิ่ง
ในปีนี้มีเรือใบไทยลงแข่งรายการเรือใบใหญ่ 11 รุ่นรวม 17 ลำ โดยในจำนวนนี้มีแชมป์เก่า 3 สมัยติดต่อกันอย่างเรือไพน์แปซิฟิก ของกัปตันอิทธินัย ยิ่งศิริ กลับมาป้องกันแชมป์ในรุ่นพรีเมียร์ และเรือราชนาวี 1 ของพันจ่าเอกวิวัฒน์ พูนพัฒน์ในรุ่นปลาทูวันดีไซน์ นอกจากนี้ยังมีทีมเรือใบไทยที่น่าจับตาอีกหลายลำ ทั้งเรือซีฮับ โดยกัปตันศุภกิจ ด้วงเงิน และ เรือพาซาญ่าของกัปตันสุวรรณ ภู่พกสกุล ในรุ่นครูซิ่ง เรือราชนาวี 2 โดย นนร.พูนเพิ่ม สมรักษ์ ในรุ่นไออาร์ซี 2 และโดยเฉพาะเรือทีเอชเอ 72 ในรุ่นไออาร์ซี 0 ของกัปตันเควิน วิทคราฟท์ ประธานกรรมการจัดการแข่งขันภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า
สำหรับการแข่งขันเรือใบเล็ก อินเตอร์เนชั่นแนล ดิงกี้ คลาส แบ่งเป็น 6 รุ่น ได้แก่ ออพติมิสต์, เลเซอร์ 4.7, เลเซอร์เรเดียล, เลเซอร์สแตนดาร์ด, 420 (Four-twenty) , และ 470 (Four-seventy) รวม 89 ลำ โดยในปีนี้มีทีมนักกีฬาเรือใบเยาวชนดาวรุ่งโอลิมปิกและนักกีฬาชุดซีเกมส์จำนวนมากร่วมลงแข่งขัน อาทิ กีรติ บัวลง ในรุ่นเลเซอร์สแตนดาร์ด ซึ่งทำคะแนนเป็นอันดับ 1 ได้ตั้งแต่วันแรก และ กมลวรรณ จันทร์ยิ้ม ที่รั้งกลุ่มผู้นำในรุ่นเลเซอร์เรเดียล นอกจากนี้ยังมีนักกีฬาเยาวชนฝีมือเยี่ยมอีกหลายคนที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยม อย่าง นาวี ธรรมสุนทร และ ณัฐ บุตรมารศรี ในรุ่น 470
สันติ กาญจนพันธุ กรรมการจัดการแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทานภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า กล่าวว่า "ในปีนี้เรามีนักกีฬาเยาวชนจากจีนมาร่วมแข่งขันในรายการเรือใบเล็กเพิ่มมากขึ้นโดยเป็นทีมที่มาจากเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการเติบโตของงานเรือใบเล็กของภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้าสู่ระดับสากล โดยนักกีฬาเยาวชนเหล่านี้จะช่วยทำให้แบรนด์ภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายบนเวทีระดับโลกต่อไป อีกทั้งนักกีฬาเยาวชนเหล่านี้ยังถือเป็นอนาคตที่สดใสของการแข่งขันเรือใบใหญ่คิงส์คัพรีกัตต้าในอนาคต"