นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เปิดเผยว่า "ความฉลาดของทารกมีปัจจัยเกี่ยวข้องอยู่ 2 ปัจจัยหลักคือ โภชนาการ และการเลี้ยงดู ในช่วง 3 ขวบปีแรกที่สมองมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว หากสมองได้รับสารอาหารที่จำเป็นและพอเพียง สมองของเด็กจะมีการแตกแขนง เชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานตลอดเวลา ล่าสุดมีการเปิดเผยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสุดยอดสารอาหารสมองตัวใหม่ที่พบในน้ำนมแม่ นั่นคือ MFGM (Milk Fat Globule Membrane) เมื่อกรดไขมันทุกชนิดรวมทั้งดีเอชเอ และเออาร์เอเหล่านี้ถูกผลิตออกมาจากต่อมผลิตน้ำนม จะถูกห่อหุ้มด้วยเยื่อบางๆนี้ ที่อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันกว่า 150 ชนิด ทำหน้าที่ช่วยสร้างปลอกไขมันหุ้มเส้นใยสมอง (Myelin Sheath) เพิ่มประสิทธิภาพการส่งสัญญาณประสาท และยังช่วยในกระบวนการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ยิ่งเซลล์สมองมีการเชื่อมต่อมากขึ้นและเร็วขึ้นเท่าไร การพัฒนาสมองของเด็กก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ การค้นพบล่าสุดของสารอาหารสมองอย่าง MFGM ในนมแม่ จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสนใจและให้ความสำคัญ เพราะถ้าลูกได้สารอาหารสำคัญครบถ้วนในการพัฒนาสมองในช่วงที่สำคัญอย่างมากนี้ สมองของลูกจะเติบโตและทำงานได้เต็มที่ทั้งระบบ
เมื่อสมองทำงานได้ดี เด็กมีสมาธิจดจำ ประมวลข้อมูลต่างๆได้ดี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสู่การพัฒนาที่ดีในแง่ทัศนคติและพฤติกรรมของเด็กในอนาคต เราต้องยอมรับว่า ในสังคมปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เด็กที่ทั้งคิดเก่ง และคิดดี มีความก้าวล้ำทั้งความคิดและอารมณ์จะปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้ดี โดยมีคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนอย่างเหมาะสมทั้งด้านโภชนาการและการเลี้ยงดู พ่อแม่ควรให้ลูกเข้าถึงเทคโนโลยีให้ช้าที่สุดเท่าที่ทำได้ ฉะนั้นเด็กต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์หรือไอแพด เพราะจะกีดขวางพัฒนาการทุกๆ ด้าน เราควรตั้งคำถามปลายเปิดเพื่อฝึกการคิดวิเคราะห์ เด็กจะสามารถคิดและกลั่นกรองที่มาที่ไปของสิ่งรอบตัวได้อย่างมีวิจารณญาณ การเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ช่วยเสริมความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถต่อยอดความคิดใหม่ๆ ด้วยการเชื่อมโยงจากประสบการณ์เข้ากับจินตนาการ การปลูกฝังเรื่องการร่วมมือ แบ่งปัน ช่วยเหลือ เพื่อสร้างพื้นฐานความฉลาดทางอารมณ์และสังคมที่ดี เป็นต้น ที่สำคัญที่สุดคุณพ่อคุณแม่ต้องปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี จะช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จในชีวิต และก้าวไปได้ไกลกว่าในโลกอนาคต"
ล่าสุด ศาสตราจารย์ เจฟฟรีย์ เคลกฮอร์น ผู้อำนวยการสถาบัน Institute of Health & Biomedical Innovation for Child Health Research Centre of Queensland University of Technology ประเทศออสเตรเลีย ได้เปิดเผยว่า จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า เมื่อ MFGM ทำงานร่วมกับ DHA จะช่วยเสริมการเชื่อมต่อเซลล์สมองเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า โดยงานวิจัยชี้ว่าทารกที่ทานนมที่มี MFGMและDHA จะมีพัฒนาการสมองและสติปัญญาใกล้เคียงกับทารกที่ดื่มนมแม่ ดีกว่าทารกที่ดื่มนมที่เพิ่มดีเอชเอเพียงอย่างเดียวถึง 4 จุด* และยังช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์อีกด้วย เช่นมีสมาธิจอจ่อมากขึ้น ไม่ก้าวร้าว และมีอารมณ์ดี ไม่ห่วงกังวลกับการเข้าสังคม หลากหลายผู้เชี่ยวชาญระดับโลกได้ยอมรับและตื่นตัวกับการเติม MFGM ในผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับทารกและเด็ก
ด้าน รศ.นพ.สรายุทธ สุภาพรรณชาติ หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า "สมองของเด็กพัฒนาสูงสุดในช่วงตั้งครรภ์ถึง 3 ขวบปีแรก เรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองที่มีความสำคัญมากต่อการพัฒนาทางสมองและพัฒนาการในอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันเอื้อให้สามารถสกัด MFGM เติมในผลิตภัณฑ์นมผงสำหรับเด็กได้ ถือเป็นความก้าวหน้าอีกระดับหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นมผงมีความใกล้เคียงกับนมแม่ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นมาก หากคุณแม่มีความจำเป็นที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้เราควรให้นมผสมที่มีคุณภาพดีที่จะช่วยพัฒนาสมองและพัฒนาการ"