นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้นำธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ภาคพื้นดินอย่างครบวงจร เปิดเผยว่า ได้ลงทุนขยายธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นเพื่อสร้างการเติบโต หลังจากสถานการณ์ความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าห้องเย็นของ JWD ฟื้นตัวจากผลกระทบปัญหา IUU Fishing ได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ประกอบกับบริษัทฯ ได้รุกขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ภายในเดือนกันยายนนี้ บริษัทฯ จึงกำหนดเปิดให้บริการคลังสินค้าห้องเย็นเฟสใหม่ที่สุวินทวงศ์ จะมีพื้นที่ให้บริการเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นอีก2,800 ตารางเมตร จากปัจจุบันมีพื้นที่เกือบ 10,000 ตารางเมตรและมีอัตราการใช้พื้นที่เกือบเต็ม 100% ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ
สำหรับคลังสินค้าห้องเย็นเฟสใหม่ที่สุวินทวงศ์ใช้งบลงทุน 90 ล้านบาท โดยประมาณการว่าถึงสิ้นปี 2560 จะมีอัตราการใช้พื้นที่ 50% และคาดว่าจะสามารถใช้พื้นที่เต็มได้ภายใน 2 ปี ซึ่งจะมาจากการมุ่งเพิ่มสัดส่วนการรับฝากสินค้ากลุ่ม Non-Seafood โดยเฉพาะสินค้าประเภทสัตว์ปีกที่โรงงานตั้งอยู่บนทำเลสุวินทวงศ์จำนวนหลายโรงงาน รวมถึงอาหารประเภทอื่น ๆ เช่น เนยแข็ง ชีส ไวน์ เป็นต้น
"ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นมีการฟื้นตัวอย่างมากนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ เราจึงตัดสินใจลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มที่ สุวินทวงศ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบระบบการทำความเย็นก่อนเปิดให้บริการได้ภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ JWD ตามลำดับ และยังอยู่ระหว่างพิจารณาขยายการลงทุนคลังสินค้าห้องเย็นเฟสใหม่ที่มหาชัยเพิ่มขึ้นอีก 1 อาคาร (อาคาร 8) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง" นายชวนินทร์ กล่าว
ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้ขยายการลงทุนโครงการติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป บนหลังคาอาคารคลังสินค้าห้องเย็นเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบลงทุนรวม 31 ล้านบาท เพื่อติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป เพิ่มเติมในเฟส 2 บนหลังคาอาคารคลังสินค้าห้องเย็นที่มหาชัย และเฟส 3 ที่จะติดตั้งบนอาคารคลังสินค้าห้องเย็นที่สุวินทวงศ์ คาดจะทยอยแล้วเสร็จในไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ตามลำดับ หลังจากลงทุนติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป เฟสแรกไปแล้ว ซึ่งเมื่อติดตั้งแล้วเสร็จครบทั้ง 3 เฟส จะส่งผลให้บริษัทฯ ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าของธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นได้ประมาณ 1.2 ล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ แผนการลงทุนดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2/60 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 44.4% และไตรมาส 1/60 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 41.2% โดยเมื่อรวมกับแผนงานเพิ่มอัตราการใช้พื้นที่ห้องเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็นเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับเดียวกับปี 2557-2558 ที่เคยทำได้ 47.4% และ 46.5% ตามลำดับ