อธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวอีกว่า สิ่งที่สถาบันอุดมศึกษาจะต้องคำนึงและจะต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดก็คือ 1.ต้องเน้นการเรียนการสอนในหลักสูตรที่มุ่งสู่อาชีพในอนาคต 2.หลักสูตรที่ขาดความชัดเจนในการประกอบอาชีพจะไม่ได้รับความสนใจจากนักศึกษาอีกต่อไป ดังนั้นแต่ละหลักสูตรที่เปิดสอนจะต้องบอกได้ว่าจบไปแล้วสามารถไปประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง ทุกวันนี้ก่อนนักเรียนจะเข้าศึกษาต่อจะมีการศึกษาหาข้อมูลมากขึ้นก่อนตัดสินใจ ผิดกับอดีตที่จะเรียนตามเพื่อนและรู้จักหลักสูตรก็ต่อเมื่อเข้าเรียนแล้ว หลังจากนี้เชื่อว่าจะมีมหาวิทยาลัยทยอยปิดหลักสูตรที่ไม่มีนักศึกษาสมัครเรียน ทั้งจะมีมหาวิทยาลัยที่มุ่งเป้าไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทางมากขึ้น และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดหลักสูตรภาคพิเศษเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป
"นักศึกษาที่หายไปจากระบบบางคนเข้าสู่อาชีพ ซึ่งผมยังเชื่อว่าเด็กยังมีความต้องการที่จะเรียนต่อ เพียงแต่ระบบที่เด็กจะเข้าเรียนนั้น ต้องเอื้อต่อการทำงาน เช่น ระบบออนไลน์ ดังนั้นวันนี้ สถาบันอุดมศึกษาจะต้องไม่ใช่จัดการเรียนการสอนเพื่อนักเรียนระดับ ม.6 หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) แต่ต้องกลับไปมองกลุ่มที่ทำงานควบคู่ไปกับการเรียน พร้อมทั้งจัดหลักสูตรระยะสั้นเพื่อตอบสนองกลุ่มนี้ มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวและเตรียมตัวกับการเรียนการสอนที่จะเปลี่ยนไป รวมทั้งมุ่งทำงานร่วมกับเอกชนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการตอบโจทย์สร้างกำลังคนให้ถูกกับงาน และสามารถทำงานได้จริง" รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าวและว่า สำหรับมทร.ธัญบุรี มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการเรียนของนักศึกษามาตลอดระยะเวลา 2 ปี มีการยุบรวมหลักสูตร 4-5 หลักสูตร และปีการศึกษา 2562 จะมีการบูรณาการหลักสูตรที่เกี่ยวกับสิ่งทอ อาหาร วิทยาศาสตร์การอาหาร จัดหลักสูตรใหม่ให้นักศึกษามีองค์ความรู้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้มีความรู้แบบครบวงจร เพราะทุกวันนี้นักศึกษาเรียนไม่ได้คิดเฉพาะประกอบอาชีพแต่มีความต้องการเป็นผู้ประกอบการด้วย.