"ปัจจุบันมีสินค้าที่แสดงเครื่องหมายว่าเป็นสินค้าอินทรีย์ในท้องตลาดจำนวนมาก แต่ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าสินค้าอินทรีย์ดังกล่าวเป็นสินค้าอินทรีย์ที่ผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์จริง หรือมาจากการผลิตแบบปกติแต่นำมาติดฉลากอินทรีย์ หรือลักลอบสวมเครื่องหมายอินทรีย์ จึงจำเป็นต้องดำเนินโครงการสถานที่จำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ถือเป็นหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ปี 2560-2564 ที่มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศต่อตลาดส่งออก เป็นร้อยละ 40:60 และมุ่งผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางหรือฮับ (Hub) ของสินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์ในระดับสากลด้วย" นายลักษณ์ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีแนวโน้มบริโภคสินค้าอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น โดยตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ไทยในปี 2557 พบว่า มีมูลค่ารวม 2,311.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2556 จำนวน 1,914.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.72 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ (ที่มา : ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ.2560-2564)
ด้าน นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดทำและประกาศใช้มาตรฐานสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับเกษตรอินทรีย์ จำนวน 7 ฉบับ ได้แก่ เกษตรอินทรีย์ ข้าวอินทรีย์ ปศุสัตว์อินทรีย์ ผึ้งอินทรีย์ ปลาสลิดระบบอินทรีย์ การเลี้ยงกุ้งทะเลระบบอินทรีย์ และอาหารสัตว์น้ำอินทรีย์ ซึ่งเป็นไปในลักษณะของมาตรฐานทั่วไปหรือมาตรฐานสมัครใจ ไม่ได้บังคับหรือควบคุมสินค้าที่ติดฉลากและใช้ชื่อ "อินทรีย์"บนสินค้า ทำให้มีสินค้าที่ติดฉลากอินทรีย์โดยไม่มีมาตรฐานและไม่ผ่านการรับรองจำนวนมาก แตกต่างจากมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน รวมทั้งอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่กำหนดเป็นมาตรฐานบังคับ
อย่างไรก็ตาม โครงการฯ นี้ ทำให้สถานที่จำหน่ายสินค้าได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐานการผลิต และการแสดงฉลากเกษตรอินทรีย์ชัดเจนมากขึ้น ทั้งยังสามารถประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ลูกค้าถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ถูกต้องได้ในอนาคต มกอช.จึงได้มีแผนเร่งสานต่อและขยายผลโครงการฯ เพื่อเพิ่มจำนวนสถานที่จำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานมากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าออร์แกนิกครอบคลุมทุกพื้นที่ และขยายช่องทางการตลาดและเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ให้กับกลุ่มเกษตรผู้ผลิตด้วย