ในระยะข้างหน้า ยังคงต้องติดตามบทสรุปของประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ซึ่งในเบื้องต้นมองว่าอาจจะมีผลกระทบที่จำกัดต่อการส่งออกของไทยในปี 2561 รวมทั้งประเด็นข้อตกลงโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน และจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจจะมีผลต่อทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนให้ยังคงปรับตัวผันผวน นอกจากนี้ กกร. จะติดตามความคืบหน้าของการลงทุนโดยเฉพาะในโครงการภาครัฐที่น่าจะทยอยปรับดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ซึ่งเป็นช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ ตลอดจนสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร ซึ่งจะมีผลต่อการประเมินภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยต่อไป
ทั้งนี้ กกร. ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ไว้ที่ 4.0-4.5% และคาดว่าการส่งออกน่าจะขยายตัว 5.0-8.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป มองว่า น่าจะอยู่ที่ 0.7-1.2%
สำหรับประเด็นที่สภาวิชาชีพบัญชีจะมีการเสนอคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) ให้ประกาศใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS9 ในวันที่ 1 มกราคม 2562 ทาง กกร. เห็นว่ามาตรฐานดังกล่าว มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศไทยค่อนข้างสูง กกร. จึงได้มีหนังสือเสนอ กกบ. ขอเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2565 เพื่อให้ กกบ. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทำการศึกษาผลกระทบอย่างละเอียดรอบด้าน ซึ่งการเลื่อนออกไปจะทำให้มีเวลาศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศที่ได้เริ่มใช้ไปแล้ว เพื่อที่จะได้กำหนดแนวทางในการนำมาตรฐานฯมาใช้งานให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้ กกร. ขอให้ภาครัฐเชิญภาคธุรกิจที่อาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงเข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการศึกษาผลกระทบ เช่นธุรกิจลิสซิ่ง เช่าซื้อ เป็นต้น
ส่วนในเรื่อง "ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก" หรือ CPTPP นั้น กกร. เห็นว่าเป็นทิศทางการค้าและการลงทุนที่สำคัญของไทย จึงขอให้ภาครัฐเร่งรัดการพิจารณาท่าทีและข้อดีข้อเสียของประเทศไทย เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการเข้าร่วมการตกลงดังกล่าว