ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้สนองนโยบายรัฐบาล โดยดำเนินการในด้านต่างๆ อาทิ 1. การรักษาเสถียรภาพราคา โดยการบริหารจัดการเกษตรกรรมแผนใหม่ "ตลาดนำการผลิต" 2. สนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันผลิตแบบแปลงใหญ่เพื่อลดต้นทุนการผลิต 3. การขยายผลการดำเนินงานแปลงใหญ่ประชารัฐสมัยใหม่ เชื่อมโยงกับการตลาดและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เชื่อมโยงกับโครงการ BOI ที่จะส่งเสริม SME ภาคเกษตรที่เป็น Agri - Solution Provider รวมทั้งการขยายเครือข่ายภาคเอกชนรายใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินการโครงการแปลงใหญ่ประชารัฐ 4. พัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Famer ผ่านศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าเกษตร (ศพก.) ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ผ่านระบบไอที เพื่อพัฒนาเกษตรกรให้เป็น Smart Famer ต่อไป 4. กำหนดพื้นที่ทำการเกษตรให้เหมาะสมกับสภาพดิน โดยการปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรที่ตลาดยังขาดแคลน และ 5. โครงการปลูกพืชอื่น ๆ หลังฤดูทำนาปี เป็นต้น
"สหกรณ์การเกษตรทั้ง 777 แห่ง ที่เข้ามารับมอบนโยบายในวันนี้ ล้วนเป็นสหกรณ์ที่ผ่านการคัดเลือกแล้วว่าได้ดำเนินธุรกิจจนประสบความสำเร็จ มีความเข้มแข็ง และมีมาตรฐานในการบริหารจัดการระดับดีเด่น ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ วางแผนจะส่งเสริมใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1. การสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อขยายกิจการของสหกรณ์ โดยสหกรณ์ต้องมีบทบาทเพิ่มขึ้น มีการประกอบกิจกรรมทางการเกษตรที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่การรับฝากเงินจากสมาชิกแล้วปล่อยกู้เพื่อให้ได้กำไรเพียงอย่างเดียว 2. การส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกร ให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบัน และต่อยอดพัฒนาให้เป็นSmart farmer และ 3. เชื่อมโยงการตลาดโดยใช้ระบบสหกรณ์เข้ามาบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ซึ่งทั้งหมดนี้จะสามารถช่วยผลักดันการปฏิรูปภาคเกษตรให้เห็นผลชัดเจนขึ้น และเกษตรกรอีกกว่า 7 ล้านครัวเรือนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน" นายกฤษฎา กล่าว