กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา” สร้างรายได้มั่นคงแก่เกษตรกร ระบบสหกรณ์การเกษตรเข้มแข็ง

พุธ ๐๙ มกราคม ๒๐๑๙ ๑๑:๕๐
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (แปลงนำร่อง) ในโครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา เพื่อเพิ่มปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดภายในประเทศ และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้มีรายได้ที่มั่นคง โดยปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวเป็นการปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ที่ตลาดมีความต้องการ ซึ่งในช่วงระยะแรกของการดำเนินโครงการได้ทดลองส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่นำร่อง ในอำเภอพิชัย อุตรดิตถ์ โดยมีเกษตรกรในพื้นที่ 221 ราย และมีเกษตรกร 67 รายเพิ่งหันมาลองปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนาเป็นครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งเกษตรกรทั้งหมดเป็นสมาชิกสหกรณ์ 4 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรบ้านหม้อ จำกัด สหกรณ์ผู้ใช้น้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านโรงหม้อ จำกัด สหกรณ์ผู้ใช้น้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าบ้านโคกหม้อ จำกัด และสหกรณ์การเกษตรพิชัย จำกัด พื้นที่เพาะปลูก 3,240 ไร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วประมาณ 3,800 ตัน สหกรณ์รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด และส่งต่อให้สหกรณ์การเกษตรเมืองตรอน จำกัด ซึ่งเป็นแม่ข่ายในการรับซื้อผลผลิตจากทั้ง 4 สหกรณ์ เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพอบลดความชื้นให้อยู่ที่ 14.5% และส่งจำหน่ายให้กับบริษัท CPF และบริษัท เบทาโกร จำกัด ซึ่งราคาขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 9.80 บาท เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ที่ความชื้นประมาณ 27 - 30% โดยราคาที่จุดรับซื้อของสหกรณ์การเกษตรบ้านหม้อ จ.อุตรดิตถ์ ราคาประมาณ 7-8 บาท/กก. เกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ย 8,365 บาทต่อไร่ เมื่อหักต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 3,810 บาทต่อไร่ จะทำให้เกษตรกรมีกำไรเฉลี่ย 4,555 บาท/ไร่

"กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมแผนการดำเนินงานตั้งแต่ความพร้อมของระบบชลประทาน ความเหมาะสมของสภาพดินในพื้นที่ที่จะปลูกข้าวโพด ตลอดจนช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก สามารถดำเนินการได้ แม้ว่าความชื้นจะเกิน 14% แต่ราคาข้าวโพดไม่ต่ำกว่าจากที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีความต้องการของตลาดโลก และแม้ว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมาจะมีการระบาดของหนอนกระทู้ก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ก็สามารถจำกัดการแพร่ระบาดศัตรูพืชได้ ซึ่งนับว่าทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการสนับสนุนการปลูกพืชอื่นนอกจากการทำนา เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพทั้งราคาข้าวและช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกพืชอื่นตามความต้องการของตลาด"

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้ปรับแผนการดำเนินงานโดยมีการบูรณาการเชื่อมโยงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และบริษัทเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์ ร่วมกันทำงานในพื้นที่เพื่อวิเคราะห์สภาพดินเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างละเอียด ตลอดจนได้ถ่ายทอดเทคนิคการปลูก การดูแลรักษา การลดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวางแผนการตลาดกับสหกรณ์ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมผลผลิตและเชื่อมโยงกับภาคเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์เข้ามารับซื้อข้าวโพดของเกษตรกร โดยสหกรณ์จะทำหน้าที่ในการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แบบครบวงจร

สำหรับการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา ในปีการผลิต 2561/62 มีเกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ 96,928 ราย พื้นที่ 814,916 ไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม 2562) โดยการรับสมัครในปี 2561/2562 นี้ ยังรับสมัครไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2562 ซึ่งเกษตรกรมีความสนใจที่จะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯ จะใช้หลักการตลาดนำการผลิต วิเคราะห์แนวโน้มความต้องการของตลาดและส่งเสริมการปลูกพืชที่จะสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรโดยใช้โมเดลการปลูกข้าวโพดเป็นแนวทางในการดำเนินงานส่งเสริมปลูกพืชอื่นๆ อาทิ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง พืชผักต่างๆ ฯลฯ ต่อไป

ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างความสำเร็จในแปลงนำร่องเป็นของนายสมพร แตงน้อย เนื้อที่ 10 ไร่ เพาะปลูกเดือนสิงหาคม 2561 และเก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.61 ขายให้กับสหกรณ์การเกษตรบ้านหม้อ จำกัด ในระดับความชื้นที่ 28% ราคา 7.20 บาท/กก. ทำให้มีรายได้ 86,400 บาท และมีกำไรเฉลี่ยไร่ละ 4,850 บาท ส่วนแปลงของนายทองเหลือ มูลนิล สมาชิกสหกรณ์ ที่รมว.กษ. เป็นประธานในการเก็บเกี่ยวข้าวโพดในแปลงนี้ มีเนื้อที่ปลูก 3 ไร่ ลงทุนไป 11,370 บาท เริ่มเพาะปลูกเมื่อวันที่ 3 กันยายน 61 และจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จทั้งหมดในวันนี้ คาดว่าจะได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ประมาณ 1,200 ก.ก. ความชื้นประมาณ 27% ซึ่งสหกรณ์จะรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 8 บาท ทำให้นายทองเหลือ มีรายได้ทั้งสิ้น 28,800 บาท เมื่อหักต้นทุนในการเพาะปลูกผลิต 11,370 บาท จะมีกำไร 17,430 บาท และได้กำไรเฉลี่ย 5,810 บาทต่อไร่.

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๑ เม.ย. อ.อ.ป. ร่วม พิธีสรงน้ำพระ ขอพร เนื่องในวันสงกรานต์ประจำปี 2567 ทส.
๑๑ เม.ย. 1 จาก 1,159 ศูนย์การค้า เดอะ พาลาเดียม เวิลด์ ช้อปปิ้ง ส่งมอบลอตเตอรี่ที่ไม่ถูกรางวัล จำนวน 125,500 ใบ ให้กับศูนย์สาธารณสงเคราะห์เด็กพิเศษ วัดห้วยหมู
๑๑ เม.ย. JPARK ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผถห. อนุมัติปันผล 0.0375 บาทต่อหุ้น
๑๑ เม.ย. สเก็ตเชอร์ส สนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อความสบายแก่บุคลากรทางการแพทย์ บริจาครองเท้ารุ่น GOwalk 7(TM) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์
๑๑ เม.ย. ศูนย์คนหายไทยพีบีเอส ร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทำงานเชิงป้องกัน เก็บก่อนหาย ในผู้สูงอายุ
๑๑ เม.ย. จุฬาฯ อันดับ 1 ของไทย การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย QS WUR by Subject 2024
๑๑ เม.ย. ครั้งแรกในไทย 'Pet Us' เนรมิตพื้นที่จัดกิจกรรม มะหมามาหาสงกรานต์ ชวนน้องหมาทั่วทั้ง 4 ภาคร่วมสนุกในช่วงสงกรานต์ 13-14 เมษายน ตอกย้ำความสำเร็จฉลอง 'Pet Us' ครบ 3
๑๑ เม.ย. LINE STICKER OCHI MOVE จาก OCEAN LIFE ไทยสมุทร คว้ารางวัลชนะเลิศ Best Sponsored Stickers in Insurance ในงาน LINE THAILAND AWARDS
๑๑ เม.ย. วว. ผนึกกำลังหน่วยงานเครือข่าย พัฒนาเชื่อมโยงการค้า ตลาด วิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
๑๑ เม.ย. บริษัท เค วัน วัน ดี จำกัด ถือฤกษ์ดีจัดพิธีบวงสรวง ซีรี่ส์ Girl's Love เรื่องใหม่ Unlock Your Love : รักได้ไหม ?