ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.5 กังวลมาก ถึง มากที่สุดต่อความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย ร้อยละ 23.2 กังวลปานกลาง และร้อยละ 9.3 กังวลน้อย ถึง ไม่กังวลเลย นอกจากนี้ เมื่อถามถึง ความเบื่อหน่ายต่อปัญหาการเมืองขณะนี้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.4 รู้สึก เบื่อ เบื่อสุด ๆ ถึง โคตรเบื่อ ต่อปัญหาการเมืองขณะนี้ ในขณะที่เพียงร้อยละ 7.6 รู้สึกไม่เบื่อ ถึง สนุกต่อปัญหาการเมือง
ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.5 ไม่เห็นด้วย ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ในขณะที่ร้อยละ 40.5 เห็นด้วย
ที่น่าสนใจคือ ประชาชนจำนวนมาก หรือร้อยละ 46.9 ให้โอกาสรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชนไม่เกิน 1 ปี ร้อยละ 30.7 ให้โอกาส 1 – 2 ปี ร้อยละ 8.1 ให้โอกาส 2 – 3 ปี ร้อยละ 11.2 ให้โอกาส 3 – 4 ปี และเพียงร้อยละ 3.4 เท่านั้นที่ให้โอกาส 4 ปีขึ้นไป
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า อารมณ์ความรู้สึกของสาธารณชนอาจพัฒนาไปสู่ความรุนแรงบานปลายที่ยากจะควบคุมได้ จากข้อมูลที่มีอยู่พบว่า ปัจจัยสำคัญที่จะป้องกันปัญหานี้คือ ความยุติธรรม ความเป็นธรรมทางการเมือง และการไม่เลือกปฏิบัติจะช่วยลดความร้อนแรงของอารมณ์สาธารณชนลงได้ ถ้าผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องเพิกเฉยก็อาจนำไปสู่สถานการณ์ต่อสู้กันที่รุนแรงจนยากจะควบคุม ผลที่ตามมาคือ บ้านเมืองจะเสียหาย ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะกลายเป็นผู้แพ้ ส่วนผู้ชนะคือกลุ่มคนหยิบมือเดียวที่ชนะบนซากปรักหักพังของบ้านเมือง เพราะคนกลุ่มนี้จะได้อำนาจได้ผลประโยชน์จากความเสียหายของประเทศชาติและความสูญเสียของประชาชน
"ผลสำรวจครั้งนี้พบด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่เกือบ 90% เห็นด้วยกับการตรวจสอบคุณสมบัติของ สส.และ สว. จึงเห็นได้ว่าอะไรที่ดีย่อมมีประชาชนสนับสนุนเป็นส่วนใหญ่ คนไทยทั้งประเทศอยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้อย่างดีบนความถูกต้องเป็นธรรม จึงเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารจัดการสแกน กองกำลัง 500 ส.ส. เสมือน "กองทัพ ส.ส." ใครดีมีวินัย มีความสามารถก็สนับสนุนให้เติบโตก้าวหน้า ดูแลผลประโยชน์ชาติตามลำดับชั้นที่น่าวางใจโดยไม่ต้องดูว่าสังกัดพรรคการเมืองใด ใครมีปัญหาก็จัดการด้วยกลไกกระบวนการยุติธรรม เพียงเท่านี้น่าจะควบคุมปัญหาการเมืองได้ ขอเพียงว่าหัวแถว หัวตอนและคนแวดล้อมของนายกรัฐมนตรีเป็นคนดีจริง ประชาชนส่วนใหญ่ย่อมสนับสนุน" ผศ.ดร.นพดล กล่าว