จากการติดตามของ สศก. เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการฯ พบว่า มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 2,176 ไร่ เกษตรกร 113 ครัวเรือน โดยการก่อสร้างท่อส่งน้ำสายหลักและสายแยกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำ ทำให้สามารถส่งน้ำได้ทั่วถึง ทุกแปลงเพาะปลูกของเกษตรกร รวมทั้งมีการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกษตรกรวางแผนใช้น้ำได้ตรงตามความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยภาพรวมเกษตรกรในพื้นที่ส่วนใหญ่ มีความพึงพอใจต่อโครงการในระดับมากที่สุด เพราะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการผลิตทุเรียนได้เหลือ 20,429 บาท/ไร่ จากเดิมเฉลี่ย 21,915 บาท/ไร่ (ลดลง 1,486 บาท/ไร่) สามารถเพิ่มผลผลิตได้เป็น 933 กก./ไร่ จากเดิม 815 กก./ไร่ (เพิ่มขึ้น 118 กก./ไร่) โดยเกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ จำนวน 28.91 ล้านบาท/ปี จากการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต
ด้านนางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการ สศก. กล่าวเสริมว่า ผลสำเร็จของการดำเนินโครงการ เห็นได้ชัดว่า ช่วยให้เกษตรกรได้รับผลผลิตอย่างเต็มที่ มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ ร่วมกันวางแผนการจัดสรรน้ำ มีการจัดรอบเวรการใช้น้ำ และการดูแลรักษาระบบส่งน้ำให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังทำให้เกษตรกรในพื้นที่เริ่มลดพื้นที่ปลูกยางพารา และปรับเปลี่ยนมาปลูกทุเรียนแล้ว 35.5 ไร่ เพราะมีระบบกระจายน้ำที่สมบูรณ์ จึงสามารถควบคุมปริมาณน้ำตามความต้องการของพืชได้ โดยเกษตรกรมีความต้องการให้มีการขยายพื้นที่ดำเนินการต่อไปในพื้นที่ข้างเคียงอีกด้วย
ทั้งนี้ สำนักงานจัดรูปที่ดินกลาง กรมชลประทาน เตรียมขยายผลในบริเวณพื้นที่โครงการในระยะต่อไป โดยในปี 2563 มีแผนดำเนินการขยายพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำบริเวณลุ่มน้ำประแสร์ ในระยะที่ 6 และ 7 โดยพัฒนาระบบท่อส่งน้ำเพิ่มเติมอีกประมาณ 2,000 ไร่ เพื่อช่วยสร้างรายได้ และสร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่เกษตรกร โดย สศก. จะได้ดำเนินการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อรายงานผลความก้าวหน้าให้ทราบในระยะต่อไป