“ขอเรียนว่าน้ำในภาคตะวันออกไม่ได้เหลือใช้ 80 กว่าวันอย่างที่มีการนำตัวเลขมาหารกัน กรมคงไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ทั้งหมดมีการบริหารจัดการ เช่น จะผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองประแกด จ.จันทบุรี ระหว่างวันที่ 1-25 มี.ค. 2563 มาเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง ซึ่งเป็นอ่างหลักที่ใช้ในพื้นที่อีอีซี และได้มีการทำข้อตกลงระหว่างกรมกับกลุ่มผู้ใช้น้ำลุ่มน้ำคลองวังโตนดแล้ว เนื่องจากเป็นการผันน้ำข้ามลุ่มตามกฎหมายใหม่ เป้าหมาย 10 ล้าน ลบ.ม. โดยอ่างคลองประแกดมีปริมาณน้ำ 40 ล้านลบ.ม. แต่มีความต้องการใช้ในพื้นที่ประมาณ 15 ล้านลบ.ม. จึงไม่กระทบต่อพื้นที่ อย่างไรก็ตามหากมีผลกระทบจะหยุดผันน้ำทันที และผันจากอ่างคลองหลวงรัชชโลธร 10 ล้านลบ.ม.มาเติมอ่างเก็บน้ำบางพระ “ ดร.ทองเปลวกล่าว
นอกจากนั้นที่ประชุมคีย์แมนวอร์รูมซึ่งมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารน้ำภาคตะวันออก ได้ขอความร่วมมือให้ภาคอุตสาหกรรม และการประปาทุกสาขา ลดการใช้น้ำลงกว่า 10 % และในส่วนของบริษัท อีสวอเตอร์ ซึ่งเป็นเอกชนที่ผลิตน้ำป้อนภาคอุตสาหกรรมให้ปรับปรุงระบบจ่ายน้ำ และจัดหาแหล่งน้ำดิบสำรองประมาณ 20 ล้านลบ.ม. ปัจจุบันทุกภาคส่วนยังบริหารน้ำได้ตามแผน
สำหรับน้ำในระบบประปา ได้มีการวางแผนขอจัดสรรน้ำในฤดูแล้ง 6 เดือน ไว้ 900 ล้านลบ.ม. สำหรับการประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะประปาภูมิภาคทั้งหมด 234 สาขา 62 % จะใช้น้ำจากกรมชลประทาน จึงต้องมีการบริหารจัดการอย่างเข้มงวด และ ได้ให้สำนักชลประทานทุกโครงการหารือกับกปภ.อย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีน้ำดิบเพียงพอ และสำรองน้ำในขุมเหมืองต่างๆไว้ด้วย
ด้านการจัดสรรน้ำตามแผนบริหารจัดการน้ำฤดูแล้ง 2562/63 มีแผนการจัดสรรน้ำทั่วประเทศ 17,699 ล้านลบ.ม. (1 พ.ย. 62-30 เม.ย. 63) จัดสรรแล้ว 10,996 ล้านลบ.ม.หรือ 62% ในลุ่มเจ้าพระยาแผนจัดสรร 4,500 ล้านลบ.ม. ปัจจุบันจัดสรรแล้ว 3,043 ล้านลบ.ม.หรือ 68% ณ ปัจจุบัน การบริหารจัดการยังเป็นไปตามแผน และกรมยังได้สำรองน้ำกรณีฝนทิ้งช่วงไว้ ถึงเดือน ก.ค. 63 เพื่อเป็นหลักประกันว่าคนไทยจะไม่ขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคอย่างแน่นอน