กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร และกรมวิชาการเกษตร ได้ลงพื้นที่สำรวจ ติดตามพื้นที่ระบาดของโรค และดำเนินการกำจัดต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรค และแมลงหวี่ขาวยาสูบ ซึ่งเป็นพาหะนำโรค พร้อมชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบในอัตราชดเชยไร่ละ 3,000 บาท ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ท่อนพันธุ์สะอาด ควบคุมการนำเข้าท่อนพันธุ์จากต่างประเทศและการขนย้ายท่อนพันธุ์ภายในประเทศ รวมทั้งสร้างการรับรู้ ให้เกษตรกรเพื่อป้องกันกำจัดโรคฯ
ด้านนางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการ สศก. กล่าวเสริมว่า จากการลงพื้นที่ของ สศก. โดยศูนย์ประเมินผล เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว และนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 19 – 21 กุมภาพันธ์ 2563 พบว่า สระแก้ว มีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง จำนวน 385,906 ไร่ พบพื้นที่ระบาด จำนวน 43,680 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 11 ของพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังของจังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งที่พบการระบาดมากที่สุดในประเทศ โดยเฉพาะอำเภอตาพระยาและอำเภอโคกสูง ปัจจุบันทำลายพื้นที่ระบาดไปแล้ว จำนวน 21,805 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 50 ของพื้นที่ระบาดในจังหวัด คงเหลือ จำนวน 21,875 ไร่ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการประชาคม/ติดประกาศ ณ ที่ว่าการอำเภอ และที่ทำการกำนันผู้ใหญ่บ้าน เพื่อยืนยันผลการตรวจสอบพื้นที่ระบาดและเสนอคณะทำงานบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง ระดับอำเภอ พิจารณาอนุมัติการ ทำลายต่อไป
จังหวัดนครราชสีมา มีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง จำนวน 1.43 ล้านไร่ พบพื้นที่ระบาด จำนวน 11,142 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 1 ของพื้นที่ปลูกในจังหวัด เป็นแหล่งที่พบการระบาดมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ พบในอำเภอเสิงสางและอำเภอครบุรี ปัจจุบันทำลายไปแล้ว จำนวน 8,457 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 76 ของพื้นที่ระบาดในจังหวัด คงเหลือพื้นที่ต้องทำลายอีก จำนวน 2,685 ไร่ โดยอยู่ในกระบวนการอนุมัติการทำลายของคณะทำงานบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง ระดับอำเภอ เพื่อดำเนินการทำลายต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรค ต่อไป
ด้านการจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่เกษตรกร พบว่า พื้นที่ที่ทำลายแล้ว ได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบอนุมัติเงินชดเชยรายได้ให้แก่เกษตรกร โดยคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง ระดับจังหวัด เรียบร้อยแล้ว โดยเกษตรกรจะทยอยได้รับเงินชดเชยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ทั้ง 2 จังหวัด อย่างไรก็ตาม จังหวัดสระแก้ว ยังคงมีความเสี่ยงจากการระบาดของโรคเนื่องจากจากพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังติดกับแนวเขตชายแดนประเทศกัมพูชา ซึ่งมีสถานการณ์ระบาดของโรค โดยมีแมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นพาหะนำโรคสามารถแพร่กระจายการระบาดในรัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งอาจเกิดสถานการณ์การระบาดซ้ำซาก ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดอย่างยั่งยืน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมให้มีการปลูกพืชกันชนป้องกันการระบาดในพื้นที่ดังกล่าว เช่น ไผ่ ไม้ผล อ้อย เป็นต้น หรือไม้ยืนต้นที่มีความเหมาะสมในการปลูกใน แต่ละพื้นที่ ควบคู่กับการส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตท่อนพันธุ์สะอาดใช้เองในชุมชน ตลอดจนการสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญและให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาดังกล่าวต่อไป