ทำให้ได้ผลผลิตเมล่อนที่มีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณผลละ 2 กิโลกรัม (4 ลูกต่อต้น) ซึ่งมีขนาดตรงตามมาตรฐานและความต้องการของตลาด อีกทั้งยังได้ปริมาณผลผลิตมากกว่าการปลูกแบบลงดินและไม่ตัดแต่งทรงต้น ซึ่งจะได้ผลผลิตเพียงต้นละ 1 ผลเท่านั้น
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า การปลูกเมล่อนแบบไฮโดรโปนิกส์ จะต้นทุนสูงมากเพียงในระยะแรก เนื่องจากต้องมีการลงทุนสร้างโรงเรือนและซื้ออุปกรณ์ถาวร (ต้นทุนคงที่) แต่มีอายุการใช้งานยาวนาน และเมื่อปลูกแล้วได้ผลผลิตที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นและมีคุณภาพ ขายได้ราคาดี ก็จะทำให้เกษตรกรสามารถคืนทุนได้ในเวลาประมาณ 6 เดือน (2 รอบการผลิต ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรือน และสายพันธุ์ที่ปลูก) นอกจากนี้ในระยะยาว การปลูกแบบไร้ดินจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการจัดการดินที่เป็นวัสดุปลูกและแรงงานในการดำเนินการอีกด้วย ทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในการผลิตลงได้ โดยผลจากการวิจัยพบว่า การปลูกเมล่อน จำนวน 18 ต้น ด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์จะใช้เงินลงทุนมากกว่าวิธีใช้ดินเพียงเล็กน้อย เฉลี่ยไม่เกิน 1 พันบาทต่อรอบการผลิต ซึ่งส่วนใหญ่การปลูกเมลอนในระบบไฮโดรโปนิกส์ จะมีต้นทุนผันแปรน้อยกว่าการปลูกในดิน ดังนั้น หากเกษตรกรปลูกเมล่อนแบบไฮโดรโปนิกส์อย่างต่อเนื่องจำนวน 10 รอบการผลิต หรือเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปีครึ่ง จะมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ยต่ำกว่าวิธีปลูกแบบใช้ดินเกือบ 10,000 บาท และได้กำไรมากกว่าราว 160,000 บาทต่อ10 รอบการผลิต
ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจการปลูกเมล่อนแบบไฮโดรโปรนิกส์ สามารถเรียนรู้และขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ขยายพันธุ์พืชที่ 2 จังหวัดตรัง โทรศัพท์ 0 7558 2312 - 13 ในวันและเวลาราชการ