depa จับมือญี่ปุ่นลุยพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ดึงจุดแข็งสองประเทศขยายผลปั้นสมาร์ทซิตี้ทั่วประเทศ

พุธ ๒๐ มิถุนายน ๒๐๑๘ ๑๐:๐๔
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ร่วมกับ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือ เจโทร (ประเทศไทย) JICA, UNDP กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน จัดงานสัมมนา "Thailand-Japan Collaboration Seminar: Towards ASEAN Smart City Network Development" เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการสัมมนา

ในช่วงแรก ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวรายงานว่า ปัจจุบันหลายประเทศรวมไปถึงประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญ และกำลังพัฒนาเมืองอัจฉริยะทั้งการพัฒนาในประเทศของตนเอง และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 32 ที่ผ่านมา ผู้นำอาเซียนได้ตกลงที่จะจัดตั้งเครือข่ายเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities Network: ASCN) เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ องค์ความรู้ เทคโนโลยี ตลอดจนสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะร่วมกัน ด้วยเหตุนี้เจโทรจึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เป็นรูปธรรมระหว่างไทยกับญี่ปุ่น รวมไปถึงเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกันกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและควรให้การสนับสนุนเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน

การจะพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้ประสบความสำเร็จได้นั้นปัจจัยหลักอยู่ 3 ประการคือ ประการแรกธุรกิจและประชาชนในท้องถิ่นจะต้องเกิดความต้องการและเรียกร้องให้เกิดเมืองอัจฉริยะขึ้น โดยจะอัจฉริยะในด้านไหนนั้น ขึ้นอยู่กับบริบทของท้องถิ่นอย่างแท้จริง ประการที่สองรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน และประการสุดท้ายคือความร่วมมือกันของภาครัฐทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ในรูปแบบ PPP ตามแนวทางประชารัฐ ทั้งนี้ ความร่วมมือในครั้งนี้ จะขยายไปถึงความร่วมมือในระดับนานาชาติทั้งในเวทีพหุภาคี หรือความร่วมมือแบบทวิภาคีที่ไทยมีกับประเทศต่าง ๆ ด้วย

ด้านพล.อ.อ.ประจิน กล่าวเปิดงานว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยในปีนี้จะดำเนินการเร่งด่วนใน 7 จังหวัด คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น กรุงเทพฯ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ทั้งนี้ ยังมีแผนขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา 5 ปี นอกจากนี้ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะเพื่อดำเนินงานรายสาขาตามความจำเป็นในแต่ละพื้นที่ ภายใต้องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งใน 6 อัตลักษณ์ คือ ชุมชนอัจฉริยะ สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ คมนาคมขนส่งอัจฉริยะ พลังงานอัจฉริยะ เศรษฐกิจอัจฉริยะ และการบริหารจัดการอัจฉริยะ

"การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือสมาร์ทซิตี้ เป็นเมืองที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยและชาญฉลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการและการบริหารจัดการเมือง ลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากร โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชน ภายใต้แนวคิดการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองอยู่ดี มีสุข อย่างยั่งยืน ซึ่งการสัมมนาในครั้งนี้จึงเป็นการจุดประกายความร่วมมือและจะเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอนาคต เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นเมืองแห่งโลกดิจิทัลและนวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดด้านพลังงานและการลดมลพิษในอากาศ" พล.อ.อ.ประจิน กล่าว

ด้าน ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ในฐานะเลขานุการร่วมกับผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (ผอ. สนข.) และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกันที่ผ่านมาทางคณะกรรมการฯได้เร่งดำเนินการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะตามพื้นที่ดูแลของแต่ละฝ่าย ได้แก่ depa ดำเนินการพัฒนาโครงการภูเก็ต สมาร์ทซิตี้ (Phuket Smart City) "ต้นแบบเมืองอัจฉริยะ" ภายใต้โครงการความร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และส่วนราชการท้องถิ่นในจังหวัดภูเก็ต โดยภูเก็ตได้มีการขับเคลื่อนต่อยอดโครงการไปแล้ว 4 ด้าน คือ ด้านการท่องเที่ยว (Smart Tourism) ด้านความปลอดภัย (Smart Safety) ด้านสิ่งแวดล้อม (Smart Environment) และ ด้านเศรษฐกิจ (Smart Economy) ล่าสุด depa ร่วมกับกลุ่ม Smart City Alliance ลงพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบัง และเมืองพัทยา เพื่อศึกษาถึงปัญหาและความต้องการของพื้นที่ ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่น โดยเทศบาลนครแหลมฉบังให้ความสนใจเรื่องการเพิ่มความปลอดภัยให้รถโรงเรียน กวดขันวินัยจราจร บริหารจัดการสิ่งแวดล้อม น้ำท่วม และ ระบบ automated call centre

ด้าน สนข. ผลักดันให้ให้เกิดความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อน Smart City พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในมิติของโครงข่ายการให้บริการภาครัฐ การคมนาคมขนส่ง ความปลอดภัย การศึกษา พลังงานสะอาด การสื่อสารข้อมูล และสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากมลภาวะ ส่วน สนพ.นั้น ได้ดำเนินการร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ด้วยการขับเคลื่อนแผนด้านพลังงานของประเทศ ลดการใช้พลังงานสูงสุด ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านพลังงานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้การดำเนินการของคณะทำงานฯ ดังกล่าวได้พยายามดำเนินการโดยการบูรณาการทำงานกับทุกภาคส่วนเพื่อครอบคลุมการทำงานในทุกมิติ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๒ บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๗:๓๓ รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๗:๔๔ กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๗:๔๒ ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๗:๑๕ กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๗:๑๕ เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๗:๒๙ สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๗:๑๐ GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๗:๔๓ เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๖:๓๖ เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4