100ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ46ปีสัมพันธ์ไทย-จีน

จันทร์ ๒๘ มิถุนายน ๒๐๒๑ ๐๘:๔๕
ในโอกาสครบรอบ "100 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนและ 46 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน" ซึ่งตรงกับวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 พันธมิตร 8 องค์กรซึ่งประกอบด้วย ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน ศูนย์วิจัยหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางไย-จีน สมาคมการค้าการลงทุนเส้นทางสายไหมไทย-จีน สมาคมส่งเสริมวิสาหกิจเอเชียน-จีน สมาคมมิตรภาพไทย-จีน คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ และ The Leader Asia ได้ร่วมกันจัดสัมมนาหัวข้อ "100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ 46 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน" ณ ห้องลีลาวดี โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "75 ปีพรรคการเมืองไทยท่ามกลางพลวัตเศรษฐกิจการเมืองโลก" โดยมีเนื้อหาสรุปคือ 100 ปีของการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนถือว่ายาวนานมาก หากทบทวนประวัติศาสตร์ โลกใบนี้นับตั้งแต่ผ่านสงครามโลก ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจ และโรคระบาด ท่ามกลางปัญหาต่างๆจนผ่านมาถึงวันนี้ โลก มีการพัฒนาการไปมาก และ 100 ปี ของการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน อาจกล่าวว่าเป็นความสำเร็จ เป็นแบบอย่างที่มั่นคงซึ่งไม่มีพรรคการเมืองประเทศไหนเดินตามรอยได้

ที่สำคัญ 100 ปีแห่งความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีนผ่านเรื่องราวที่โลกจะต้องจดจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความขัดแย้ง ความยากจน และไม่นานจีนจะยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ขณะเดียวกันบทบาทของจีนต่อโลกใบนี้กำลังถูกจับตามองจากเวทีโลกว่ามีศักยภาพในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว นั่นคือความสำเร็จที่น่าชื่นชมในวันนี้และอนาคต

นายอภิสิทธิ์ได้แสดงความคิดเห็นถึงประเด็นหัวข้อ 75 ปีพรรคการเมืองไทยว่า พรรคการเมืองไทยมีจำนวนมาก มีเกิดใหม่ มีล้มเลิกไป เพราะสังคมไทยมีการวิจารณ์ที่รุนแรง แต่บทบาทการเมืองไทยก็มีไม่น้อยเลยในการพัฒนาประเทศ ที่สำคัญการมีระบบตัวแทนประชาชนยิ่ง หลังการปกครอง พ.ศ. 2475 นักการเมืองมีบทบาทสำคัญยิ่ง ยุคนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็มีการถ่วงดุลในฐานะเป็นฝ่ายค้าน

ต่อมาในยุคของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคการเมืองก็มีเสถียรภาพในการพัฒนาประเทศมาก โดยนำเอาปัญหาของประชาชนในการคลี่คลายปัญหา มีนโยบายหลายเรื่องที่แก้ปัญหาและพัฒนาสู่เป้าหมายที่ตั้งที่ไว้หลายเรื่องจนสำเร็จในช่วงสั้นๆ

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าหากมองอนาคตของพรรคการเมืองในอีก 100 ปีจะเป็นช่วงท้าทายมากไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จะเผชิญความท้าทายอีกมากมาย ดังนั้นโครงสร้างของพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบไหนก็แล้วแต่จึงต้องมองทุกมิติ เพราะปัจจุบันมีการแก้ไขปัญหาแบบไร้พรมแดน ที่มุ่งการพัฒนาให้ประเทศเจริญก้าวหน้าด้วยกันทั้งนั้น ไม่แตกต่าง

นายหยาง ซิน อุปทูต รักษาราชการแทนเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ได้กล่าวปาฐกถาหัวข้อ "100 ปีแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนและแผนการพัฒนาจีนตามแนวคิดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง" มีเนื้อหาพอสรุปประเด็นสำคัญคือ พรรคคอมมิวนิสต์เริ่มต้นก่อตั้งพรรค มีสมาชิกเพียง 50 คน วันนี้มีสมาชิกมากถึง 90 ล้านคน และมีภาคีเครือข่าย 464,000 องค์กร ซึ่งถือเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถพัฒนาประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตจนก้าวขึ้นอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน ประเทศจีนมีการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการสำรองเงินตรามากสุดในโลก มีเทคโนโลยี ไฮเทค มากที่สุดในโลก มีรถไฟความเร็วสูงรวมระยะทางยาวที่สุดในโลก มีสถานีอวกาศที่ขึ้นไปแล้ว และความสำเร็จที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำให้ประเทศจีนเจริญรุ่งเรื่องมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.2012-2020 โดยเป้าหมายสำคัญคือการแก้ไขปัญหาความยากจน ส่งผลให้คนจีน 98 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจน อีก 950 ล้านคนกำลังจะพ้นจากความยากจน และอำเภอยากจน 832 แห่งหลุดพ้นจากความยากจนทั้งหมด พร้อมกับขจัดความยากจนเชิงสมบูรณ์และความยากจนแบบเชื่อมติดเป็นผืนรวมในระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายสร้างสังคม กินดี อยู่ดี ถ้วนหน้าพร้อมๆไปกับสร้างสังคมนิยมสมัยใหม่

อย่างไรก็ตามเป้าหมายในปี ค.ศ. 2020-2035 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะสร้างประเทศให้ทันสมัยให้เข้มแข็ง ที่สำคัญพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเป็นพรรคเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของโลก สร้างนโยบายการต่างประเทศที่เป็นสันติภาพ

อุปทูตจีนกล่าวว่าอีก 100 ปีแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับแนวคิดการพัฒนาใหม่ ประกอบด้วย 1.นวัตกรรม สมดุล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดกว้างและการแบ่งปัน 2.เน้นการพัฒนาที่มีคุณภาพสูง 3.สร้างประเทศให้มีความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ส่วนรูปแบบการพัฒนาใหม่คือ อาศัยการหมุนเวียนภายในประเทศเป็นแกนหลักและการหมุนเวียนภายในและภายนอกประเทศเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันยังมีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของโลก โดยเป็นผู้สร้างสันติภาพของโลก ผู้สนับสนุนการพัฒนาของโลก และผู้พิทักษ์ระเบียบระหว่างประเทศ

นายหยาง ซิน กล่าวว่าความสัมพันธ์ของประเทศไทยและประเทศจีน วันนี้ครบรอบ 46 ปีอย่างเป็นทางการแล้ว รู้สึกยินดียิ่ง ที่ผ่านมาไม่ว่าการเชื่อมสัมพันธ์ทางจิตใจ การค้า การลงทุน ในบริบทด้านเศรษฐกิจ ทั้งไทยและจีนแนบแน่นด้วยดีมาโดยตลอด โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจ ปี 2563 มูลค่าการค้าจีน-ไทย 98,630 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.5% คำขอรับการส่งเสริมลงทุนจากจีนมีจำนวน 164 โครงการเงินลงทุน 31,500 ล้านบาท จีนเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของไทย และไทยเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับที่ 3 ของจีนในอาเซียน ที่สำคัญจีนยินดีที่จะร่วมพัฒนาด้านการลงทุนกับประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการร่วมลงทุนกับไทยในโครงการ EEC

ต่อจากนั้นเป็นช่วงของการเสวนาหัวข้อ "46ปีความร่วมมือไทย-จีนกับแนวคิดประชาคมแห่งผลประโยชน์ร่วม" วิทยากรประกอบด้วย นายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายกสมาคมมิตรภาพไทย-จีน นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พล.อ.สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ประธานศูนย์วิจัยหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางสายไทย-จีน สำนักงานวิจัยแห่งชาติ ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล นายกสมาคมการค้าการลงทุนเส้นทางสายไหมไทย-จีน และนายชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ อดีตนายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน

นายกร ทัพพะรังสี กล่าวว่าสัมพันธ์ไทย-จีนเริ่มในปี 2518 เมื่อท่าน โจว เอิน ไหล นายกรัฐมนตรีจีนในขณะนั้นได้กล่าวต้อนรับ พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในขณะนั้น ที่เดินทางไปเข้าพบที่กรุงปักกิ่งว่า "ขอต้อนรับลูกชายของเพื่อนเก่า" นอกจากช่องทางการทูตระหว่างสองรัฐบาล ที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นไปลงนามความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 แล้ว ยังมีช่องทางภาคประชาชนที่ผู้นำจีนในอดีตเปิดทางให้สร้างความสัมพันธ์ต่อกันในรูปของสมาคมที่เริ่มต้นจากสมาคมมิตรภาพไทย-จีน

พล.อ.สุรสิทธิ์ ถนัดทาง ปัจจุบันไทยต้องเข้าใจในยุทธศาสตร์ BRI ของจีนว่าเป้าหมายเขาคืออะไร เขาจะสร้างเส้นทางแห่งสันติภาพเส้นทางแห่งความเจริญรุ่งเรืองเส้นทางแห่งการเปิดกว้างและเส้นทางแห่งอารยะธรรม พฤติกรรมที่เกิดขึ้นมีมากกว่า100ประเทศที่เข้ามาร่วมโครงการ แม้กระทั่งสหประชาชาติก็มีความเห็นสนับสนุนด้วย การสร้างประชาคมแห่งโชคชะตาร่วมกันของจีนที่มีผลต่อประเทศในหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางซึ่งรวมถึงอาเซียน แม้บางพื้นที่มีเสียงสะท้อนว่าจีนกำลังแสวงหาอาณานิคมในรูปแบบใหม่หรือไม่ แต่สำหรับไทยสำหรับอาเซียนถือว่าเป็นระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่าในขณะที่มีความกังวลในภาคยุทธศาสตร์เอกชนใจเรื่องการทำธุรกิจกับภาคเอกชนจีนว่ามีกำลังเหนือกว่ามากอาจจะเข้ามาฮุบกิจการ หรือก็อปปี้ลอกเลียนแบบเลยไหม แต่ขณะเดียวกันจีนก็มีความยืดหยุ่น มีความเป็นมิตรภาพในการต่อรองเจรจา ส่วนในภาครัฐที่มีการเจรจากับจีน จีนเป็นตลาดที่เติบโตสำหรับสินค้าเกษตรของไทย วิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมก็ทำงานกับจีนอย่างใกล้ชิด การทำงานฉันท์มิตร

อนาคตเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นเรื่องสำคัญเพราะจีนให้ความสำคัญต่อการเอามิติของดิจิทัลมาขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ จีนกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมการเงินยุคใหม่ที่เรียกว่า Decentralized Finance ที่อาจจะเป็นดิจิทัลหยวน หรืออาจเป็นการปล่อยสินเชื่อในระบบของ บล็อคเชน อันนี้เป็นเรื่องที่น่าจับตามอง

ตอนนี้จีนคือธุรกิจเศรษฐกิจ 5.0 เราเห็นจีนยิงดาวเทียม มีเทคโนโลยีควอนตัมที่เร็วกว่าของอเมริกาหลายพันเท่า ดังนั้นสปีดของอินเตอร์เน็ตในอนาคตและเศรษฐกิอจที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูล Big Data ที่จีนมีและใช้นั้นจีนมีมากกว่ายุโรป อเมริกา และตะวันตก ดังนั้นไทยเราจะวางตำแหน่งตนเองอย่างไรให้อยู่ในเศรษฐกิจที่เรารู้ว่าต้องใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่ก้าวข้ามเข้ามาอย่างไร้พรมแดน ไม่ใช่แค่นโยบาย BRI แต่โครงสร้างพื้นฐานในทางดิจิทัลคือสิ่งที่ประเทศไทยต้องมียุทธศาสตร์ว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับจีนอย่างไรในอนาคต เพราะจะนำมาซึ่งการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เศรษฐกิจที่เพิ่มมูลค่าเพิ่มผลผลิตให้กับประเทศไทยเรา

"ต้องมองจีนให้เป็นโอกาส อย่ามองว่าเป็นคู่แข่งเป็นศัตรูหรือกลัวจีน แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ Platform Economy หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยPlatformใหญ่ๆ เช่น Booking.com ที่โกยกำไรจากการท่องเที่ยว อำนาจสื่อที่อยู่ในมือ Facebook Google Youtube เราอาจจะกลัวจีนแต่เราก็ต้องสร้างสมดุลกับฝั่งตะวันตกที่ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีทันสมัย" นายปริญญ์กล่าว

ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูร กล่าวในมุมมองของภาคเอกชนว่า หากประเทศไทยจะพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นต้องไม่ลืมเศรษฐกิจสีเขียวที่กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนโลกและนักลงทุนจากประเทศจีน GWM เข้ามาลงทุนในไทยแล้ว รถไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดรถยนต์ปัจจุบัน สินค้าไทยที่จะส่งไปขายจีนนอกจากสินค้าเกษตร สินค้าอื่นๆต้องมีนวัตกรรม ต้องลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาถึงจะเจาะตลาดจีนได้

การจะค้ากับจีนต้องคิดใหม่ทำใหม่ ไม่ใช่คิดแค่ขายกลุ่มทัวร์ ตัวอย่างช่วงเกิดโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนไม่มาก ผู้ผลิตสินค้าขายทัวร์ตายกันหมดเพราะไม่วางแผนที่อยู่รอดหากเจอวิกฤติเลย

ที่มา: สมาคมมิตรภาพไทย-จีน

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ