"He Will Rock You A Knight's Tale" อัศวินพันธุ์ร็อค 2 พฤศจิกายน 2544

ศุกร์ ๑๒ ตุลาคม ๒๐๐๑ ๐๙:๒๑
กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--โคลัมเบีย พิคเจอร์ส
"เราต้องทำได้ ชัยชนะต้องอยู่ในกำมือเรา"
วิลเลี่ยม แธ็ตเชอร์
"ถ้ามีความศรัทธา มนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่าง" แธ็ตเชอร์ผู้ยากจนกล่าวกับบุตรชายเอาไว้เช่นนั้น "มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้" แต่ในยุโรป ยุคศตวรรษที่ 14 ชะตากรรมมิอาจกำหนด เพราะชะตากรรมมนุษย์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
สำหรับวิลเลี่ยม บุตรชายของแธ็ตเชอร์ที่ยากไร้ ผู้มีชาติกำเนิดแสนต่ำต้อย มันดูเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจที่เขาจะทำใจรับได้ว่าความฝันที่จะได้เป็นอิศวินนั้นเป็นเพียงความฝันล้มๆ แล้งๆ ในวัยเด็ก ในยุคสมัยที่การเลื่อนสถานะยังไม่ใช่แนวคิดที่ผู้คนยอมรับได้ ชะตากรรมจึงมิอาจเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน ผู้คนต้องตายไปในสถานะเดิมกับเมื่อถือกำเนิดมา นั่นคือข้อกำหนดแห่งธรรมชาติ
แต่แล้ววันหนึ่ง ในการแข่งขันต่อสู้ด้วยทวนที่เหล่าอัศวินต้องควบม้าโรมรันเข้าหากัน เพื่อทดสอบทักษะ ประสาทรับรู้ และเสียงเพลง "We Will Rock You" ของวงควีน ได้กระตุ้นความเร้าใจของการแข่งขันด้วยเนื้อร้องดลใจที่ว่า "สักวัน จะต้องเป็นใหญ่" โชคชะตาได้เปิดโอกาสให้วิลเลี่ยมได้ลงสนาม เขาได้แปลงสภาพตัวเองให้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ตระกูลสูง อัลริช วอน ลิชเทนสตีน แห่งเจลเดอร์แลนด์ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงควบของฝีเท้าม้าที่ดังราวอัสนี เสียงร้องกึกก้องของเหล่าประชา และความร้อนแรงของดนตรีร่วมสมัย
ในไม่ช้า เซอร์อัลริชก็สร้างชื่อจนได้กลายเป็นเสมือนไมเคิล จอร์แดนกลางสนามประลองทวนยุคกลาง เป็นเอ็มวีพีของเวทีซูเปอร์โบลว์แห่งศตวรรษที่ 14 เป็นผู้คว้าเหรียญทองแห่งกีฬาโอลิมปิค เขาคืออัศวินที่เข้าร่วมประลองฝีมือในการต่อสู้ที่ไร้สิ่งป้องกัน ก็เพื่อความภาคภูมิ อำนาจ และชื่อเสียงเกียรติยศ เขาได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองแล้ว
เรื่องราวไร้กาลเวลาของวิลเลี่ยม (ฮีธ เล็ดเจอร์) และพ้องเพื่อนนิสัยประหลาด ได้แก่ โรแลนด์ (มาร์ก แอ็ดดี้) ผู้ดูจริงจังแต่กลับมีหัวใจอ่อนโยน, วัต (อลัน ทูดิ๊ก) หนุ่มเลือดร้อน และเจฟฟ์ เชาเซอร์ นักเขียนตกงาน (พอล เบ็ตตานีย์) ที่มุ่งหน้าสู่ความรุ่งโรจน์ที่ไม่น่าเป็นไปได้ ภาพยนตร์เรื่อง A Knight's Tale จากโคลัมเบีย พิคเจอร์ส คือเรื่องราวแปลกประหลาด แต่สร้างแรงบันดาลใจของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังค้นหาความจริงที่ว่า เขาจะสามารถสร้างตำนานได้หรือไม่
A Knight's Tale ซึ่งผสมผสานระหว่างเรื่องราวการเดินทางผจญภัย เรื่องรักประทับใจ และฉากแอ็กชั่นกระตุ้นความตื่นเต้น คือ การเดินทางสุดมันและโรแมนติก เมื่อชายหนุ่มผู้หนึ่งตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง เอาชนะหัวใจของหญิงสาวแสนสวย (แชนนิน ซอสซามอน) และจัดการเขย่าโลกยุคกลางของเหล่าอัศวิน
วิลเลี่ยมที่พกพาลักษณะแบบหนุ่มยุคใหม่ที่ดูตลก เซ็กซี่ และมีสไตล์ ป่ายปีนขึ้นสู่ความร่ำรวยและความมีชื่อเสียง ในภาพยนตร์ผจญภัยที่มีสีสันเรื่อง A Knight's Tale ซึ่งถือกำเนิดจากจินตนาการของมือเขียนบท/ผู้กำกับระดับรางวัลออสการ์ ไบรอัน เฮลเจแลนด์ ("L.A. Confidential", "Payback") ผลงานจากดิเอสเคป อาร์ติสต์ส/ ไฟเนสต์คายน์ โปรดักชั่น อำนวยการสร้างโดย ทิม แวน เรลลิม ("Invisible Circus", "K-2") และท็อดด์ แบล็ก ("Fire In The Sky", "Wrestling Ernest Hemingway")
ทีมนักแสดงประกอบไปด้วย รูฟัส ซีเวลล์, ลอร่า เฟรเซอร์, เบเรไนซ์ บีโจ, คริสโตเฟอร์ คาเซโนฟ และเจมส์ เพียร์ฟอย ทีมงานสร้างสรรค์หลังกล้องได้แก่ ผู้กำกับภาพที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วอย่าง ริชาร์ด เกรตเทร็กซ์, บีเอสซี, โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ โทนี่ เบอร์โรห์ ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วเช่นกัน และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายและเสื้อเกราะ แคโรลิน แฮร์ริส ทั้งหมดนี้เป็นทีมงานที่มาจากประเทศอังกฤษ มือตัดต่อ เควิน สติทท์มาจากสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์ดนตรี คาร์เตอร์ เบอร์เวลล์ ทีมงานที่ประกอบไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ ยังรวมถึงพวกช่างเทคนิค, ทีมศิลปิน และทีมงานจากอังกฤษ สาธารณรัฐเชช, สหรัฐอเมริกา, อิตาลี่, เยอรมัน, ไอร์แลนด์ และฮังการี่
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการจัดให้อยู่ในเรตประเภท PG-13 โดยสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (MPAA) อันเนื่องมาจากความรุนแรงของฉากแอ็กชั่น ฉากเปลือย และบทสนทนาที่เกี่ยวพันถึงเรื่องเซ็กซ์
@ เกี่ยวกับงานสร้าง @
"ทีมงานของเราทุกคนล้วนแล้วแต่เหมือนกับได้เหยียบย่างเข้าสู่เขตแดนใหม่ ทั้งในเรื่องของความยิ่งใหญ่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคโบราณของภาพยนตร์เรื่องนี้" ผู้อำนวยการสร้างท็อดด์ แบล็กกล่าวยอมรับตามตรง แต่ความสามารถของมือเขียนบท/ผู้กำกับอย่างไบรอัน เฮลเจแลนด์ ที่เคยคว้ารางวัลออสการ์บทภาพยนตร์มาแล้วจากภาพยนตร์เรื่อง "L.A. Confidential" ก็ช่วยบรรเทาความกังวลใจของทีมงานไปได้เยอะ
"ไบรอันได้เขียนถึงโลกอื่นๆ เอาไว้ได้ดีมาก และเขาก็จะยึดถือความเป็นจริงในแต่ละฉากเอาไว้ด้วย" แบล็กอธิบายต่อ "เขาทำการค้นคว้ามาจริงๆ ทุกถ้อยคำ ทุกโลเกชั่น ทุกตัวละคร ทุกอย่างล้วนแต่เน้นที่ความเป็นจริงในทุกส่วนของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ และเขาก็สรรหาผู้คนที่ต้องการบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นจริงมาทำงานร่วมกับเขา"
"แล้วเขาก็ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี" แบล็กกล่าวต่อ "เขาทำการบ้านในฐานะมือเขียนบท และเห็นได้ชัดว่าเขายังทำการบ้านมาเป็นอย่างดีในฐานะที่เป็นผู้กำกับด้วย"
เมื่อให้กล่าวถึงผลงานใหม่ล่าสุดของเขาเรื่องนี้ เฮลเจแลนด์กล่าวว่า "เราต้องการสร้างภาพยนตร์ย้อนยุคที่จะต้องเน้นความถูกต้องของยุคสมัยนั้น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความรู้สึกร่วมสมัยกับคนดูด้วย ผมต้องการทำให้ยุคสมัยกลางดูมีชีวิตชีวาในแบบเดียวกับที่คนในยุคสมัยนั้นรู้สึก คนพวกนั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่ในสมัยโบราณนะ พวกเขาเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบันของพวกเขาเหมือนกัน"
"การที่ภาพยนตร์จะประสบความสำเร็จได้ คนดูจะต้องเหมือนกับถูกเชื้อเชิญให้เข้าไปอยู่ในตัวภาพยนตร์ พวกเขาอาจจะรู้สึกเหมือนนั่งดูอยู่ห่างๆ ถ้าต้องเจอเข้ากับชุดที่สุดโบราณ คำพูดที่ฟังลำบาก หรือดนตรีที่ฟังเป็นเพลงเก่าโบราณ มันจะต้องมีองค์ประกอบที่เข้าถึงคนดูได้ เป้าหมายของเราก็คือการสร้างสะพานที่ไร้รอยต่อระหว่างสมัยนั้นกับสมัยนี้ให้จงได้"
เมื่อระดมคนมีฝีมือมาช่วยกันสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว การเตรียมงานถ่ายทำภาพยนตร์สุดทะเยอทะยานเรื่องนี้จึงเริ่มต้นขึ้นในสาธารณรัฐเชช ทีมงานได้ไปปักหลักตั้งฐานที่มั่นอยู่ในกรุงปร๊าก ซึ่งมีลักษณะเป็นนครโบราณแบบสมัยยุคกลางแบบที่เหตุการณ์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการอยู่แล้ว
เพื่อทำให้การแปลงสภาพของนักแสดงง่ายขึ้น เฮลเจแลนด์จึงได้เรียกตัวทีมนักแสดงของเขามารวมตัวกันที่กรุงปร๊ากเพื่อซักซ้อมบทกันนานหนึ่งเดือน ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักแสดงมีความคุ้นเคยกันดีด้วย นอกจากนี้ ทีมงานยังได้เลือกโลเกชั่นบริเวณชานเมืองของสาธารณรัฐเชชเอาไว้อีกหลายแห่ง และมีการสร้างฉากกลางแจ้งเอาไว้ที่โรงถ่ายภายในสตูดิโอบาร์แรนดอฟ ซึ่งทีมงานปักหลักตั้งฐานอยุ่ โรงถ่ายดังกล่าวมีพื้นที่ใหญ่กว่าสนามฟุตบอลอเมริกันถึงสองเท่า ทำให้สามารถสร้างฉากเอาไว้ในโรงถ่ายเดียวได้ถึงหลายฉากด้วยกัน อาทิเช่น ฉากนครลอนดอนยุคกลาง, รูเอน, สนามประลองทวน ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีให้เห็นด้วยกันทั้งหมดถึงสามสนาม นอกจากนี้ พื้นที่ที่เป็นน้ำแข็งขนาดใหญ่บนเกาะวทาลว่าริเวอร์ ซึ่งอยู่ตรงใจกลางกรุงปร๊ากยังถูกแปลงสภาพให้กลายเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงเต้นรำขนาดใหญ่ และยังมีส่วนระเบียงของวิหารแบบฝรั่งเศสที่นอตเตอร์ดาม และรูเอนด้วย
ฮีธ เล็ดเจอร์ ที่ในตอนนั้นเพิ่งไปรับบทเป็นลูกชายผู้แสนกล้าหาญของเมล กิ๊บสัน ในภาพยนต์ของโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง "The Patriot" ไปหมาดๆ มารับบทเป็นวิลเลี่ยม ชายหนุ่มที่ไม่กลัวตาย และมุ่งมั่นที่จะยกสถานะในสังคมของตัวเองอย่างไม่ลดละ
นักแสดงหนุ่มชาวออสเตรเลียกล่าวเอาไว้ว่า "สำหรับผม สิ่งที่น่าสนใจที่สุดไม่ใช่เรื่องที่วิลเลี่ยมสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะของเขาได้ แต่เป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ขณะไต่เต้าต่างหาก เขามุ่งมั่นเพื่อให้ได้ทองคำ เชื่อเสียง และเกียรติยศ แต่ในที่สุด เขาค้นพบว่าเพื่อนที่อยู่รอบข้างและคอยช่วยเหลือเขานั้นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่แท้จริงในชีวิตของเขา เกียรติยศที่แท้จริงก็คือการค้นหาสิ่งที่อยู่ในความคิดและในหัวใจของคุณนั่นเอง"
ไบรอัน เฮลเจแลนด์กล่าวเสริมว่า "ในช่วงที่วิลเลี่ยมได้รับการเลื่อนตำแหน่งและชนชั้นให้สูงขึ้นนั้น หัวใจของเขาได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นมาแล้ว นี่คือเรื่องราวในเทพนิยายที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง"
ในผลงานส่วนมากของเฮลเจแลนด์ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรวบรวมนักแสดงฝีมือดีมาร่วมงานกันแทบทั้งนั้น "ในภาพยนตร์ของเรา วิลเลี่ยมมีลักษณะของความเป็นนักฝัน ส่วนวัตจะเป็นคนอารมณ์ร้อน และมีความกระตือรือร้นที่จะต่อสู้เพื่อเพื่อน โรแลนด์จะเหมือนพี่ชาย เป็นคนที่เป็นหลักในการปฏิบัติการทุกอย่าง พวกเขาไปเจอกับเจฟฟ์ เชาเซอร์กลางทาง เขาไม่ใช่กวีที่ตายไปแล้ว แต่เป็นผู้ชายที่เหมือนกับมีส่วนผสมของผู้จัดการนักกีฬา นักข่าว และโฆษกประจำสนามด้วย สุดท้าย ยังมีเคตอีกคน เธอเป็นผู้หญิงที่ต้องเข้ามาดูแลกิจการตีเหล็กของสามีที่เสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาทุกคนล้วนแต่ต้องการกันและกัน แต่ละคนต่างมีสิ่งที่ต้องการและมีสิ่งที่จะมอบให้กับผู้อื่น"
"วิลเลี่ยมของฮีธ เล็ดเจอร์เป็นผู้ชายที่มีความมุ่งมั่น" เฮลเจแลนด์ให้รายละเอียดเพิ่มเติม "เรื่องราวของเขาก็คือเรื่องราวของคนอเมริกันสมัยใหม่ เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งที่ต้องสร้างตัวเองด้วยการทลายอุปสรรคทางสังคม มันคือเรื่องราวแบบที่เราหลายคนต้องเจอ โดยส่วนตัวแล้ว ผมเคยเป็นชาวประมงที่หลุดพ้นจากอาชีพนั้นมาได้ ผู้ชายทุกคนในตระกูลของผมทำมาหากินด้วยการจับหอย จะมียกเว้นอยู่อีกคน ก็คือลุงของผมที่เดินทางไปอลาสก้าเพื่อตามจับปูราชา ถ้ามองกลับไปสมัยนั้น การจะมาอยู่ฮอลลีวู้ดนี่แทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ผมก็จัดการให้ตัวเองเข้ามาทำงานเป็นมือเขียนบทจนได้ มันเป็นความพยายามที่ต้องใช้เวลา แล้วผมก็กลายมาเป็นคนเขียนบทที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นผู้กำกับ ซึ่งก็ถือเป็นก้าวกระโดดที่ใหญ่มากเช่นกัน A Knight's Tale จึงเป็นเสมือนภาพยนตร์ที่ยกย่องทุกคนที่สามารถทำสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมให้สำเร็จลงได้"
เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อคนรับใช้สามคนของนักรบคนหนึ่งต้องมาพบว่าเจ้านายของพวกเขาเกิดเสียชีวิตลงขณะที่ใกล้จะคว้าชัยชนะในการแข่งขันแล้ว...พวกเขาจึงจากไป
วิลเลี่ยมตัดสินใจนำเกราะของอัศวินผู้เสียชีวิตไปแล้วนั้นมาใส่ และเข้าร่วมการแข่งขันประลองทวนบนหลังม้า ทั้งนี้ก็เพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด ยังไม่รวมถึงเหตุผลที่เป็นความฝันของเขาต่างหาก โรแลนด์เฝ้าเตือนวิลเลี่ยมว่า คนที่จะเข้าแข่งขันประลองทวนนี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่ถือกำเนิดในตระกูลสูงเท่านั้น และผลที่ติดตามมาก็สุดแสนเจ็บปวด
วิลเลี่ยมที่ตั้งเป้าในชีวิตไว้สูงล้นพ้น ตอบกลับไปว่าเขารู้ดีว่าไม่มีทางอื่นอีกแล้ว "ฉันเฝ้ารอเวลาแบบนี้มาตลอดทั้งชีวิต" แล้ววิลเลี่ยมก็ตัดสินใจคว้าโอกาสนี้เอาไว้
ใน A Knight's Tale ท่ามกลางผู้คนนับร้อย เสียงร่ำร้องจากคนดูที่ต้องการความตื่นเต้น และเสียงเพลงของดนตรีร็อคคลาสสิก หนุ่มนักตุ๋นคนหนึ่งสามารถหลุดพ้นจากการตรวจสอบ และมีชัยชนะเหนือการแข่งขัน และแล้ว ตำนานที่ไม่เหมือนใครได้ถือกำเนิดขึ้น
"เราสามารถทำได้" วิลเลี่ยมที่มีใจฮึกเหิมกล่าว "เราเป็นแชมเปี้ยนได้ ฉันจะไม่ยอมใช้ชีวิตที่เหลืออยู่แบบไร้ตัวตนหรอก" ด้วยความช่วยเหลือจากกลุ่มเพื่อน วิลเลี่ยม แธ็ตเชอร์ที่ไร้ตัวตน กลับกลายเป็นเซอร์อัลริช วอน ลิชเทนสตีน แห่งเจลเดอร์แลนด์ที่แสนห่างไกล และไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่บนเสื้อเกราะของเขาจะประทับตราของนกฟีนิกซ์เอาไว้ "จุดสิ้นสุดคือการเริ่มต้น" วิลเลี่ยมอธิบาย
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการหลอกลวงครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเขา ท่ามกลางความเลิศหรูของยุโรป วิลเลี่ยมกลายเป็นบุคคลที่ทุกคนชื่นชม ในขณะที่เขาได้เพื่อนใหม่เข้ามาร่วมแก๊งค์เพื่อนสนิทด้วยอีกสองคน คือ นักเขียนอายุ 29 ปีที่ชื่อ เจฟฟ์ เชาเซอร์ ที่มีฝีปากเป็นเอก กับเคต ช่างตีเหล็กหญิงที่รักอิสระ และมีฝีมือด้านการตีเหล็ก
แน่นอน เชาเซอร์คือคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดในบรรดาตัวละครของภาพยนตร์เรื่องนี้ มีบันทึกหลายฉบับที่บ่งบอกว่าเขาเคยมีตัวตนอยู่จริง แต่ส่วนมากแล้วก็แทบไม่มีบันทึกฉบับไหนที่บอกเล่ารายละเอียดของเขาได้ทั้งในเรื่องส่วนตัวหรือในฐานะที่เป็นกวี ที่จริง มีอยู่เพียงระยะหนึ่งสั้นๆ เท่านั้นในชีวิตที่แสนยุ่งเหยิงของเชาเซอร์ที่ไม่ได้มีการบันทึกถึงเอาไว้เลย A Knight's Tale จึงได้นำช่วงเวลาที่ขาดหายไปนั้นมาเพิ่มสีสัน และไบรอัน เฮลเจแลนด์ได้รับอิสระที่จะหามุขสนุกๆ เล่นกับกวีหนุ่มผู้นี้ก่อนที่เขาจะกลายเป็นกวีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ศัตรูของวิลเลี่ยม ก็คือ แชมเปี้ยนที่มีฝีมืออำมหิตที่ชื่อ เคานต์แอ็ดฮีมาร์ (รูฟัส ซีเวลล์) ผู้มุ่งมั่นจะทำลายความฝันของวิลเลี่ยมให้จงได้ และแน่นอน ยังมีโจเซลีน หญิงสาวสูงศักดิ์ที่บรรดาอัศวินหนุ่มจากทั่วยุโรปต่างหมายตาเอาไว้ สำหรับบุตรชายที่ยากจนของตระกูลแธ็ตเชอร์แล้ว โจเซลีนคือสิ่งที่อยู่เกินเอื้อม ไม่ต่างจากการที่เขามีโอกาสได้เข้าแข่งขันประลองทวนครั้งนี้
แชนนิน ซอสซามอน คือผู้ที่มารับบทเป็นโจเซลีน และนี่ก็คือบทบาทนำในภาพยนตร์ระดับเมเจอร์เรื่องแรกในชีวิตของเธอ ในเดือนตุลาคม ปี 1999 ดาราสาววัย 20 ปีผู้นี้ ได้เดินทางมาร่วมงานวันเกิดของกวินเนธ และเจก พัลโทรว์ พร้อมเพื่อนของเธอที่ทำหน้าที่เป็นดีเจในงาน และในงานนั้นเองที่แคสติ้งไดเร็กเตอร์คนหนึ่งของฮอลลีวู้ด ฟรานซีน เมสเลอร์สะดุดตาเธอเข้า
เมสเลอร์เล่าว่า "แชนนินมีความสวยระดับที่สะดุดตาจนเมื่อคุณได้เห็นเธอ ก็แทบละสายตาไปจากเธอไม่ได้เลย ฉันไม่เคยมีปฏิกริยากับใครมากเท่านี้มาก่อน ฉันบอกได้เลยว่าเธอคงไม่รู้ตัวว่าตัวเธอเป็นคนสวยขนาดนั้น ฉันอยากจะคุยกับเธอ แต่ฉันก็ลังเลที่จะเข้าไปทักทายกับคนแปลกหน้า แล้วฉันก็รู้สึกว่างานแสดงนั้นเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือ ฉะนั้นจึงไม่ใช่ว่าคนหน้าตาดีๆ จะแสดงได้ทุกคน แล้วคุณก็คงไม่อยากให้ใครต้องฝันไปลมๆ แล้งๆ ด้วย"
แต่เมลเลอร์ก็พยายามค้นหาข้อมูล และหลายวันต่อมา เธอก็ได้พบกับดีเจสาวสวย ตาดำผู้นี้ และได้รู้ข้อมูลว่า แชนนินเกิดในฮาวาย โตในรีโน่, เนวาด้า และย้ายมาอยู่ลอส แอนเจลิส เพื่อเรียนการเต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอคลั่งไคล้มาก เธอยังรู้ข้อมูลมาอีกว่า หญิงสาวผุ้นี้เคยมีประสบการณ์การแสดงมาก่อน โดยเธอแสดงภาพยนตร์โฆษณาทางทีวีมาแล้วหลายชิ้น
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเมสเลอร์ได้เข้ามาทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่อง A Knight's Tale ของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส เธอจึงเห็นภาพซอสซามอนในบทนำหญิง ประกบการแสดงกับฮีธ เล็ดเจอร์อย่างลงตัว และเมื่อซอสซามอนเดินทางมาพบเพื่ออ่านบทให้เมสเลอร์ดู เมสเลอร์ก็เกิดความประทับใจขึ้นมาแทบจะในทันที
ทางด้านไบรอัน เฮลเจแลนด์ มือเขียนบท/ผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่องนี้ เห็นพ้องด้วยว่าแชนนินคือคนที่เหมาะกับบท โจเซลีน หญิงสาวสูงศักดิ์ที่เหล่าอัศวินต่างลงสนามแย่งชิงหัวใจ
ผู้อำนวยการสร้างท็อดด์ แบล็กเล่าถึงการตัดสินใจของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส ในการเลือกตัวซอสซามอนไว้ดังนี้ "นั่นถือเป็นการกระทำที่กล้าหาญมาก กับการเลือกนักแสดงที่ไม่มีใครรู้จักให้แสดงนำในภาพยนตร์ทุนสร้างสูงขนาดนี้ ทุกคนต่างประทับใจกับความสวยและความสามารถของเธอ"
ในขณะที่ภาพที่เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้คือยุคสมัยกลาง และเต็มไปด้วยความพิถีพิถันในรายละเอียดแบบภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด แต่ A Knight's Tale ไม่ได้เน้นในเรื่องของความสมจริงในทุกส่วน ตลอดเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก และชัยชนะ จะถูกถักทอผสมผสานเข้ากับดนตรี แฟชั่น และการเต้นรำที่ล้ำเกินหน้ายุคสมัยกลาง ถึงแม้จะมีการค้นคว้าในเรื่องราวทางด้านประวัติศาสตร์มามากมาย แต่เฮลเจแลนด์สนับสนุนให้ทีมงานในแผนกต่างๆ เดินทางแนวทางของเขา และยังมอบอิสระ และโอกาสในการจินตนาการที่บางครั้ง มีความหลากหลายถึงหกศตวรรษให้กับทีมงานของเขา
ผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงที่เคยทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ มาแล้ว ได้รับการว่าจ้างให้เข้ามาทำงานตามคอนเซปต์ของไบรอัน เฮลเจแลนด์ บรรดาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นได้แก่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องทวน เสื้อเกราะ ม้า นักค้นคว้า ผู้ผลิตอาวุธ จิตกร คนงานทำเครื่องหนัง และกองทัพพ่อมดสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ทั้งหลาย นักแปลภาษา และผู้ฝึกสัตว์อีกเพียบ
ตัวอย่างของความต้องการอย่างเห็นได้ชัดอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ คำสั่งผลิตทวน ซึ่งเป็นอาวุธที่จะต้องใช้จำนวนมากในฉากประลองทวน ซึ่งแม้แต่ทางผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะต้องใช้ทวนถึง 1,000 อัน
"เราสั่งทวนถึง 8 อันสำหรับการถ่ายทำฉากหนึ่งของกองถ่ายที่ 2" ท็อดด์ แบล็กเล่า "และเราก็ลงเอยด้วยการใช้ทวนถึง 44 อันในหนึ่งวัน"
นอกจากนี้ ทีมงานยังต้องตระเวณไปทั่วทั้งสาธารณรัฐเชช เพื่อแสวงหาม้าแกล็ดรูบี้ ซึ่งเป็นม้าขนาดใหญ่ที่มีการใช้งานกันมาย้อนกลับไปกว่า 700 ปี ซึ่งเป็นยุคที่พวกมันถูกใช้เป็นม้าสำหรับลากรถของพวกราชนิกูล และยังทำหน้าที่เป็นเสมือนรถถังในยุคอัศวินด้วย ทีมงานกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งเดินทางมาจากอังกฤษ มาพร้อมกับฝีมือในการสร้างอาหารชุดพิเศษเพื่อใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยพวกเขาจะต้องรับหน้าที่ในการจัดอาหารให้กับงานเลี้ยงอันหรูหราแบบยุคอัศวิน ที่ปรึกษาทางด้านงานตีเหล็กได้รับการว่าจ้างเข้ามาเพื่อฝึกสอน ลอร่า เฟรเซอร์ ให้ทำเกือกม้า ถึงแม้ว่านักแสดงหญิงชาวสก็อตผู้นี้จะยอมรับว่า "ฉันต้องเรียนรู้ท่าทางที่จะแกล้งทำเป็นว่าตีเหล็กเป็น แต่ส่วนมากแล้ว เกือกม้าที่ฉันทำออกมาหน้าตาจะเหมือนที่เขี่ยบุหรี่ทั้งนั้น"
ฮีธ เล็ดเจอร์เป็นตัวแทนออกมาบอกเล่าถึงความรู้สึกทั้งของตัวเขาเองและของเพื่อนนักแสดงที่ได้มาอยู่ท่ามกลางงานสร้างที่ละเอียดลออเช่นนี้ด้วยการเล่าว่า "กองถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นเหมือนกับสนามเด็กเล่นสำหรับพวกเราทุกคนก็ว่าได้ ตัวผมเองไม่เพียงแต่มีโอกาสได้มาร่วมแสดงกับนักแสดงที่ฝีมือเก่งฉกาจทั้งหลาย แต่ผมยังได้ขี่ม้า ร้องเพลง เต้นรำ และยังได้ต่อสู้ด้วยการใช้ดาบ ได้เล่นมุขตลก และแสดงฉากสตั๊นต์ด้วย มันคือฝันของนักแสดงก็ว่าได้"
โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ โทนี่ เบอร์โรห์ และคอสตูม ดีไซเนอร์ แคโรลีน แฮร์ริส ได้ช่วยกันนึกโทนสีที่จะต้องนำมาใช้เมื่อโชคชะตาของวิลเลี่ยมรุ่งโรจน์ขึ้นอย่างที่สุด ชุดย้อนยุคของแฮร์ริส โดยเฉพาะชุดราตรีที่แชนนิน ซอสซามอนจะต้องสวมใส่ในบทโจเซลีน คงจะต้องทำให้สาวๆ แถวโรดิโอไดรฟ์และเมลโรส อะเวนิวต้องอิจฉาไปตามๆ กัน
ชุดของซอสซามอนก็รวมถึงเสื้อคลุมสีขาวที่ตัดเย็บด้วยมือ ประดับด้วยตราประจำตระกูลของโจเซลีน ประดับด้วยทองคำ นอกจากนี้ยังมีหมวกทรงโบราณที่ประดิษฐ์ด้วยมือที่ประดับด้วยเลื่อมทอง และชุดผ้าไหมจีนสีเหลือง แฟชั่นในภาพยนตร์เรื่องนี้แฝงไปด้วยกลิ่นอายของยุคสมัยใหม่ของเรื่องราวไร้กาลเวลาของแรงกระตุ้นที่ทะเยอทะยาน และจิตวิญญาณของหนุ่มสาวที่คงทนถาวร
ในการสร้างภาพลักษณ์ให้กับกลุ่มผองเพื่อนของวิลเลี่ยม "ไบรอันกับฉันได้แรงบันดาลใจมาจากภาพลักษณ์ของวงเดอะโรลลิ่งสโตนส์ ในตอนออกทัวร์ในปี 1972" แฮร์ริสอธิบาย
เบอร์โรห์ให้ความเห็นว่า "สำหรับภาพยนตร์ที่มีองค์ประกอบมากมายเช่นนี้ คุณจะต้องทำการค้นคว้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ คุณต้องเก็บรวบรวมภาพต่างๆ อ่านหนังสือเก่าๆ จากนั้นก็เริ่มวิ่งไปกับมัน คุณต้องทำให้มันดูดีกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และกับคนดูด้วย มีความเป็นจริงทางด้านประวัติศาสตร์ แล้วก็มีบทภาพยนตร์ ผู้กำกับ และมุมมองแบบร่วมสมัย ซึ่งบ่อยครั้งทุกองค์ประกอบนี้เหมือนกับจะขัดแย้งกันอยู่ คุณต้องผสมผสานพวกมันให้กลมกลืนเข้าด้วยกันได้"
ที่ดูมีเสน่ห์ที่สุดในบรรดาองค์ประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ การผสมผสานอย่างสร้างสรรค์และลงตัวของการนำดนตรีร็อคคลาสสิก ซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นเพลงร็อคจากยุค 80 ที่ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกของตัวละคร และในที่สุด ก็คือ ช่วยเสริมสร้างอารมณ์ของตัวภาพยนตร์ด้วย มันคือดนตรีแห่งปวงชนที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและไม่หยุดนิ่ง เป็นดนตรีเพื่อคนดูที่ร่วมดีใจไปกับการไต่เต้าขึ้นสู่ความรุ่งโรจน์ของวิลเลี่ยมหรือเซอร์อัลริช วอน ลิชเทนสตีน
โทนที่โดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการนำเพลงที่เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้วของวงควีน คือเพลง "We Will Rock You" มาใช้ เมื่อวิลเลี่ยมกับผองเพื่อนตอ้งผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อให้สามารถแสดงตนเป็นอัศวินได้อย่างสมจริงจะเป็นฉากที่ได้เสียงเพลง "Low Rider" ของ War มาช่วย และเพลง "Takin' Care Of Business ของ Bachman-Turner Overdrive จะกระหน่ำดังขึ้นก็เมื่อวิลเลี่ยมฉายแววของความเป็นผู้นำและความเป็นมิตรแท้ ในฉากเต้นรำนั้น เพลง "Golden Years" ของเดวิด โบวี่ จะเตือนให้คนดูระลึกถึงความรู้สึกที่ว่ารักแรกนั้นคือความมหัศจรรย์ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยใดก็ตาม เพลง "Get Ready" ของ Rare Earth ช่วยให้วิลเลี่ยมกล้ายอมเสี่ยงสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อโจเซลีน วิลเลี่ยมและกลุ่มเพื่อนเดินก้าวเข้าสู่ลอนดอนเพื่อการแข่งขันสุดยิ่งใหญ่ด้วยเสียงดนตรีเพลง "The Boys Are Back In Town" ของ Thin Lizzy
ผู้กำกับไบรอัน เฮลเจแลนด์กล่าวว่า "เราไม่ได้พยายามจะขายเหตุการณ์ด้วยเพลงป็อบ เราพยายามที่จะทำให้ความรู้สึกสมัยใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องของดนตรี รวมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียวกับภาพยนตร์เรื่องนี้"
นักออกแบบท่าเต้นรำชื่อดังของอังกฤษ สต๊วร์ต ฮ็อปป์ส ซึ่งร่วมแสดเป็นนักเต้นรำอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายด้วยการสร้างฉากเต้นรำ โดยจะต้องอิงกับสเต็ปการเต้นของศตวรรษที่ 14 แต่ก็จะต้องแฝงไปด้วยอารมณ์แบบศตวรรษที่ 20 ด้วย ผู้ประพันธ์ดนตรี คาร์เตอร์ เบอร์เวลล์ต้องทุ่มเทให้กับการคำนวณเพื่อผสมผสานดนตรีสองแบบสองยุคเข้าด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียว
A Knight's Tale วางเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อิ่มเอิบไปด้วยขนบธรรมเนียม ความรัก และการผจญภัย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันคงจะง่ายขึ้นเยอะที่จะวางเหตุการณ์ดังกล่าวเอาไว้ในสมัยศตวรรษที่ 13 แทนที่จะเป็นศตวรรษที่ 14 เพราะโครงสร้างทางสังคมของยุโรปกำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงในช่วงศตวรรษที่ 12 และ 13 โดยเกิดจากช่วงสงครามครูเสดส์ ในศตวรรษที่ 12 การแข่งขันต่อสู้นั้นถือเป็นการเลียนแบบเหตุการณ์ในสมรภูมิรบ โดยยึดถือเป็นการฝึกฝนของเหล่านักรบเพื่อพัฒนาฝีมือในเชิงต่อสู้ การแข่งขันประลองฝีมือแบบนี้มักมีขึ้นในยุโรปในช่วงต้นยุคศตวรรษที่ 12 และปลายศตวรรษที่ 17 นอกเหนือไปจากเกมส์การแข่งขันของพวกกรีกอันเป็นที่มาของกีฬาโอลิมปิคแล้ว การแข่งขันประลองฝีมือทวนคือกีฬาชนิดแรกๆ ที่มีการจัดการแข่งขันกันขึ้นในโลก รวมไปถึงการแข่งขันชนิดอื่น อาทิเช่น การต่อสู้ด้วยดาบ อัศวินจากทุกอารยธรรมทั่วโลกจะเดินทางไปทั่วอังกฤษ สก็อตแลนด์ สเปน อิตาลี โปรตุเกส ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม รัสเซีย และเยอรมัน เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าวนี้
เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป การแข่งขันประลองฝีมือได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน การแข่งขันแบบตัวต่อตัวกลายเป็นการแข่งขันที่ได้รับความนิยม และเป็นการแข่งขันที่แสดงให้เห็นถึงทักษะและความสามารถของอัศวินแต่ละคน และมีการพัฒนาจนกลายเป็นการประลองทวนที่จะต้องผ่านการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี และมักอยู่ภายใต้สายตาของบรรดาเหล่าสุภาพสตรีที่เป็นที่ต้องตาต้องใจของนักกีฬา ดังนั้น เรื่องราวของความกล้าหาญจึงมักมีปรากฏอยู่ในวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมทั้งหลาย การต่อสู้ด้วยทวนบนหลังม้าจึงกลายเป็นการต่อสู้ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบังคับม้าของนักสู้ การรู้จักป้องกันและการรู้จักวางตำแหน่งของมือด้วย
สำหรับยุคสมัยที่ได้มีการกล่าวถึงในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่องนี้ การแข่งขันที่ยิ่งใหญ่คือภาพอันน่าตื่นใจที่เกิดขึ้นท่ามกลางเรื่องราวขัดแย้งทางการเมืองและความรัก ที่ซึ่งโชคชะตาและตำแหน่งสามารถได้มาหรือสูญเสียได้ง่ายๆ ความสามารถ ชื่อเสียงเกียรติยศ และความกล้าหาญของอัศวินเข้ามาแทนที่ความโหดร้ายป่าเถื่อน ถึงแม้ว่าความตายและความพิกลพิการยังคงปรากฏให้เห็น ในขณะที่เหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่งดงามส่งเสียงเชียร์ผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ในชุดเกราะทอประกายแสง ขบวนพาเหรดและช่อดอกไม้ อย่างที่ได้เห็นในภาพยนตร์เรื่อง A Knight's Tale ล้วนแล้วแต่มีอยู่จริง งานออกแบบเครื่องแต่งกายต้องผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี เหล่าสุภาพสตรีมักจะส่งมอบของขวัญให้กำลังใจอย่างเช่น ผ้าพันคอ แด่อัศวินที่พวกนางต้องตา เบื้องนอกสนามแข่ง เหล่านักดนตรีส่งเสียงขับกล่อม และเหล่าพ่อค้าทำการขายสินค้าต่อไป มันคือความบันเทิงสำหรับผู้มาดูและผู้เข้าแข่งขันด้วยเช่นกัน เหตุการณ์เช่นนี้นับวันจะยิ่งใหญ่ขึ้น และน่าดูมากขึ้น สร้างความตื่นเต้นให้ขจรขจายไปทั่ว
จะว่าไปแล้ว เมื่อพิจารณาจากความตื่นเต้น อันตราย ความน่าดู และการตระเวณออกทัวร์ ทำให้การตระเวณจัดการแข่งขันประลองฝีมือนี้เปรียบได้กับการทัวร์คอนเสิร์ตเพลงร็อคแบบในยุคปัจจุบัน หรือไม่ก็เทียบเท่ากับการแข่งขันซูเปอร์โบลว์, เวิร์ดซีรีส์, การชิงแชมป์ NASCAR, มาร์ดิกราส และการเฉลิมฉลองปีใหม่ การแข่งขันประลองทวนถือเป็นเทศกาลงานเฉลิมฉลองที่ไม่มีใครอยากจะพลาด
อัลแลน กราฟ ผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 และยังทำหน้าที่ดูแลงานสตั๊นต์ ร่วมทีมกับไบรอัน เฮลเจแลนด์เพื่อสร้างฉากแอ็กชั่นที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับภาพยนตร์เรื่อง A Knight's Tale กราฟเล่าว่า "คำแนะนำแรกของไบรอันก็คือ การทำให้การประลองทวนเป็นกีฬาร่วมสมัยชนิดหนึ่ง ก็คงไม่ต่างจากฟุตบอลที่มีการกระแทกกันอย่างรุนแรง" ผลงานอันน่าประทับใจที่กราฟเคยฝากเอาไว้ ก็รวมถึงผลงานจากภาพยนตร์ที่พูดถึงกีฬาที่มีความรุนแรง อาทิเช่น "The Replacement", "Any Given Sunday", Jerry Maguire" และ "The Waterboy"
"เป้าหมายของไบรอัน" กราฟกล่าวต่อ "ซึ่งก็คือเป้าหมายของผมเช่นกัน คือการทำให้แต่ละการแข่งขัน ไม่ว่ามันจะกินระยะเวลานานสักเท่าไหร่ มีความแตกต่างกันไป ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีการแข่งขันทั้งหมด 27 คู่ และเราก็ไม่ได้จัดฉากการต่อสู้แบบปลอมๆ เลย ทั้งนี้ก็เพราะเราหวังว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่สร้างความตื่นเต้นและโลดโผนมาก ผมรู้สึกพอใจจริงๆ ที่ทำมันออกมาให้ดูสมจริงได้ ไม่มีการนำภาพที่สร้างจากคอมพิวเตอร์กราฟฟิกมาใช้ในฉากแอ็กชั่นของเราเลย"
"พรสวรรค์อย่างหนึ่งของไบรอัน เฮลเจแลนด์ก็คือ ความสามารถที่จะสร้างโลกที่สมจริงที่ประกอบไปด้วยตัวละครที่มีเลือดเนื้อ และทำให้คุณรู้สึกแคร์ตัวละครเหล่านั้นได้" ผู้อำนวยการสร้าง ท็อดด์ แบล็กกล่าวชมผู้กำกับของเขา "ผมว่าในพจนานุกรมของเขาคงไม่มีคำว่า 'ไร้ชีวิตชีวา' แน่ เขายังสามารถสร้างความบันเทิงให้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องบังคับคนดูด้วย"
"การใส่รายละเอียดและการสร้างโลกขึ้นบนจอภาพยนตร์เป็นงานที่สนุกมากทีเดียว" เฮลเจแลนด์กล่าวยอมรับ "มันเป็นความตื่นเต้นที่จะได้เดินทางไปยังบ้านเช่าที่เก่าแก่ของเชช คุณจะพบข้าวของโบราณที่มีฝุ่นเกาะในแบบที่คุณไม่มีทางได้เห็นในวงการบันเทิงของฮอลลีวู้ดหรือที่อังกฤษ คุณไม่สามารถทำลายความเป็นจริงของมันได้ และในหลายกรณี คุณอาจจะไม่ต้องการแม้แต่จะรู้ถึงความเป็นจริงนั้น"
นอกเหนือไปจากจะให้ความบันเทิงแล้ว ยังมีใจความข้อหนึ่งแฝงอยู่ในเรื่องราวของอัศวินผู้นี้ด้วย "โจเซลีนได้พูดกับวิลเลี่ยมไว้ว่า 'จงเป็นตัวของตัวเอง แค่เป็นตัวท่าน ข้าก็รักท่านแล้ว' สำหรับผม นั่นแหละคือสาระที่เป็นสากลที่สุด" แบล็กกล่าว "เพื่อนของวิลเลี่ยมทุกคนได้มอบความแข็งแกร่งให้กับเขาเพื่อให้ได้รู้ว่าเขาเป็นใคร และนั่นก็คือสิ่งที่วิลเลี่ยมทำ เขากลายเป็นคนที่เขาอยากจะเป็น เขามีความเชื่อมั่น เขามีความรัก และเขาก็สนุกกับชีวิตของเขา"
ฮีธ เล็ดเจอร์มองเรื่องราวนี้ว่าเป็นนิทานร่วมสมัยที่มีเนื้อหาง่ายๆ แต่ชวนประทับใจ "มันเป็นการเดินทางของตัวละคร เริ่มจากจุดที่เขาจากมา จุดที่เขาอยากจะไปให้ถึง และวิธีการที่เขาไปถึงจุดแห่งความฝันนั้น" นักแสดงหนุ่มอนาคตไกลกล่าว "เขาทำตามหัวใจตัวเอง และผมก็รู้ว่ามันจะต้องสร้างความประทับใจให้กับคนดูได้"(ยังมีต่อ)
-อน-

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version