กรุงเทพฯ--22 มี.ค.--เอกธำรง เคจีไอ
บริษัทหลักทรัพย์ เอกธำรง เคจีไอ จำกัด (มหาชน) ประกาศยกเลิกแผนเพิ่มทุนที่ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้เมื่อราวเดือนพฤศจิกายนในปีที่ผ่านมา คือยกเลิกมติการเพิ่มทุนที่ได้เคยเสนอสิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิมหรือเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงแก่สถาบันการเงิน
นอกจากนี้บริษัทฯยังเดินหน้าแผนการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคด้วยการร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติโดยการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ โชฮุง ในประเทศเกาหลี หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าไปซื้อกิจการของบริษัท เคจีไอ (ฮ่องกง) เรียบร้อยแล้วเมื่อตอนต้นปีนี้
บริษัทฯได้ซื้อหุ้นบริษัท เคจีไอ (ฮ่องกง) เป็นเงิน 28 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,120 ล้านบาท โดยจ่ายผ่านทางบริษัท เคจีไอ เอสวัน อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (HOLDCO) ที่ฮ่องกง ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ทางเอกธำรง เคจีไอ ถือหุ้นอยู่ 100 เปอร์เซ็นต์ และจะลงทุนอีก ประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,400 ล้านบาท ในบริษัทหลักทรัพย์ โชฮุง ที่เกาหลี โดยการร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติ
นายภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอกธำรง เคจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ จะเดินหน้าแผนภูมิภาคโดยการดำเนินธุรกิจและขยายฐานลูกค้าสู่ภูมิภาคเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งการดำเนินธุรกิจในอนาคตจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายต่างๆ ในภูมิภาคที่จะมาช่วยเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของบริษัทฯ จากโครงสร้างการลงทุนใหม่นี้บริษัทฯ ยังคงดำรงเป้าหมายเดิมในการยกระดับสู่ภูมิภาค หากแต่ประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุนในต่างประเทศอาจจะต้องมีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างตามจำนวนการเข้าถือหุ้น"
ผลประกอบการของบริษัท เคจีไอ (ฮ่องกง) และบริษัทหลักทรัพย์โชฮุง ที่ผ่านมา มีผลกำไรเป็นที่น่าพอใจ โดยผลประกอบการที่มาจากฮ่องกง จะส่งผลกับผลประกอบการรวมของเอกธำรง เคจีไอในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ในขณะที่ผลประกอบการจากเกาหลีคาดว่าจะมีผลในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เช่นกัน ทั้งนี้ เอกธำรง เคจีไอ มีผลกำไรสุทธิ ณ สิ้นปี 2542 ที่ผ่านมา จำนวน 712.42 ล้านบาท
บริษัท เคจีไอ (ฮ่องกง) มีผลประกอบการที่ยังไม่สอบทาน สำหรับงวด 10 เดือน โดยสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มกราคม 2543 มีผลกำไร 160 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 8,440 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,200 ล้านบาท และรายได้รวม 2,280 ล้านบาท
ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ โชฮุง ที่เกาหลี มีผลประกอบการที่ยังไม่สอบทาน สำหรับงวด 10 เดือน โดยสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มกราคม 2543 มีผลกำไร 1,840 ล้านบาท สินทรัยพ์รวม 10,680 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 6,240 ล้านบาท และรายได้รวม 4,640 ล้านบาท--จบ--