กรุงเทพฯ--4 ส.ค.--ก.ล.ต.
ในวันนี้ (4 สิงหาคม 2543) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) โดยนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล เลขาธิการ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยนายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ กรรมการและผู้จัดการ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เพื่อร่วมกันเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุน และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดทุนต่างประเทศในระยะยาว
การร่วมจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้เป็นหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนสนับสนุนตลาดทุนไทย 11 ประการของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และเป็นเรื่องที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ในการประชุมประจำเดือนกรกฎาคม 2543 ได้มีมติอนุมัติให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจกับสำนักงาน ก.ล.ต. ด้วยแล้ว
นายประสาร กล่าวว่า "ผลของการจัดทำบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเพิ่มความชัดเจนและเพิ่มบทบาทหน้าที่ของสำนักงาน ก.ล.ต. ในการเป็นผู้กำหนดนโยบายและกำกับดูแลผู้มีส่วนร่วมในตลาดทุน ทั้งในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลและคุณภาพของการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทที่จะเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน การเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน การกำกับดูแลและตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์และเจ้าหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์ที่ติดต่อกับลูกค้าและประชาชน อันจะเป็นการลดภาระของผู้ที่มีส่วนร่วมในตลาดทุน รวมทั้งเสริมสร้างความชัดเจนและคล่องตัวในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญ ในการสร้างมาตรฐานของการพัฒนาตลาดทุนในระยะยาวที่สอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของระบบตลาดทุนในประเทศ อีกทั้ง ยังจะเป็นการรองรับการปรับปรุงโครงสร้างของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เป็นบริษัทเอกชนซึ่งจะมีผลทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เน้นการประกอบธุรกิจเชิงพาณิชย์มากกว่าบทบาทของผู้กำกับดูแล"
ในขณะเดียวกันนายวิชรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ข้อตกลงดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญที่จะสนับสนุนการปรับโครงสร้างองค์กรและการบริหารงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปสู่การเป็นบริษัทเอกชนที่มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อการดำเนินงานเชิงธุรกิจ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะที่ตลาดทุนโลกมีการแข่งขันอย่างรุนแรง บทบาทหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้กรอบแห่งข้อตกลงนี้ จะเปลี่ยนจากเดิมที่เน้นการกำกับดูแลผู้มีกิจกรรมเกี่ยวข้องไปเป็นการทำงานด้านการตลาดเชิงรุก มีความคล่องตัวเพียงพอ เพื่อเพิ่มจำนวนสินค้า ดึงดูดผู้ลงทุน พัฒนาบริการที่ตอบสนองและทันต่อความต้องการของผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย โดยยังคงไว้ซึ่งภารกิจสำคัญในการเป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ต้องมีระบบงานที่น่าเชื่อถือ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มพูนความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ"
ผลจากการจัดทำ MOU ในครั้งนี้ จะทำให้มีการปรับปรุงแก้ไขกระบวนการต่าง ๆ ให้กระชับและเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งสามารถสรุปผลกระทบและแนวทางปฏิบัติใหม่ของผู้ที่เกี่ยวข้องได้ดังนี้
1) ลดภาระของบริษัทจดทะเบียนในการเปิดเผยข้อมูลรายงานงบการเงิน และรายงานการเปิดเผยข้อมูลประจำปี โดยจะเปลี่ยนเป็นการรายงานต่อสำนักงานก.ล.ต. เท่านั้น โดยจะเริ่มตั้งแต่การส่งรายงานประจำงวดปี 2543 เป็นต้นไป
2) ลดภาระในการส่งรายงานการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหารและผู้สอบบัญชีของบริษัทจดทะเบียน โดยจะเปลี่ยนเป็นการรายงานต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เท่านั้น ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป
3) ลดความซ้ำซ้อนในการกำกับดูแลและตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์ โดยสำนักงาน ก.ล.ต. จะเป็นผู้ตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งระบบแต่เพียงผู้เดียว และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 สำนักงาน ก.ล.ต. จะรับโอนงานขึ้นทะเบียนเจ้าหน้าที่การตลาดมาจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
4) ลดระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตการเสนอขายหลักทรัพย์แก่ประชาชนและการนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนให้สั้นลง โดยสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะลดระยะเวลาที่ใช้ในการพิจารณา ให้น้อยลงกว่าที่กำหนดในปัจจุบัน
สำหรับการดำเนินงานในด้านอื่นที่กำหนดใน MOU สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะได้ประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติและกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานที่ชัดเจน และจะได้เปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกันต่อไป--จบ--
-อน-