กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--กพช.
“กพช” เห็นชอบ กรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 และแนวทางในการบริหารกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงหลังปลดภาระหนี้ นอกจากนี้เตรียมออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการใช้พลังงาน ในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน 8 รายการ
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 3 ในช่วงปี 2551-2554 โดยมีรายละเอียดดังนี้
การเร่งรัดการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 โดยใช้มาตรการส่งเสริมและจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางด้านภาษี การให้คำแนะนำ และเพิ่มแนวทางใหม่ เพื่อเสริมกับมาตรการที่มีอยู่เดิม เพื่อช่วยผู้ประกอบการมีทางเลือกที่จะลงทุนเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานเพิ่มขึ้น เช่น การส่งเสริมการใช้อุปกรณ์แสงสว่างประสิทธิภาพสูง ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้หลอดผอมใหม่เบอร์ 5 แทนหลอดฟูลออเรสเซนต์ T8 หรือหลอดผอมเดิม คาดว่าจะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ 4,790 ล้านหน่วยต่อปี นับตั้งแต่ปี 2555 ลดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดได้ 1,040 เมกะวัตต์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2.1 ล้านตันต่อปี
สำหรับการสนับสนุนธุรกิจบริษัทจัดการด้านพลังงาน ESCO ได้มีการจัดกองทุนเพื่อร่วมลงทุนและส่งเสริมการลงทุนในโครงการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โดยใช้เงินจากกองทุนฯเข้าร่วมในโครงการ หรือการเข้าร่วมทุนกับบริษัทจัดการพลังงาน เช่นการเช่าซื้ออุปกรณ์ประหยัดพลังงาน หรือพลังงานทดแทนให้ผู้ประกอบการก่อน แล้วให้ผ่อนชำระทีหลัง โดยเบื้องต้นปี 2551 จะทดลองดำเนินการดังกล่าวในวงเงิน 500 ล้านบาท และส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงานโดยวิธีประกวดราคา (DSM Bidding) เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการโรงงานและอาคารตัดสินใจเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกิจการให้เร็วขึ้น โดยจะใช้เงินกองทุนฯเข้าไปสนับสนุนอัตราต่อหน่วยพลังงานที่ประหยัดได้ ด้วยการเชิญชวนผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอเข้าร่วมโครงการ และขอรับการสนับสนุนงบต่อค่าพลังงานที่ประหยัดได้ โดยโครงนี้จะมีระยะเวลาในการดำเนินการ 2 ปี
นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมลดการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง เช่น การจัดเตรียมพื้นที่จอดแล้วจร เพิ่มเติมพร้อมทั้งจัด Feeder อำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างที่จอดรถไปยังระบบขนส่งมวลชน และกำหนดอัตราความเร็วในการขับรถยนต์ไม่ให้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดในแต่ละเขต พร้อมกับศึกษาหาแนวทางในการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งสินค้า เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและจูงใจให้หันมาใช้พลังงานทดแทน ด้วยการผลักดันพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยเน้นดำเนินการในสิ่งที่มีอยู่ในประเทศ เช่น น้ำเสีย ขยะ วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาล เช่น ก๊าซชีวภาพ การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน การส่งเสริมวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นพลังงาน
“การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน จะสามารถลดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ในปี 2554ได้ประมาณ 18,294 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือเทียบเท่าการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 14,829 ล้านลิตร และประหยัดไฟฟ้าได้ 45,165 ล้านหน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 467,000 ล้านบาทต่อปี”
วันนี้ กพช. ได้เห็นชอบกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีจัดการเพื่อให้โรงงานและอาคารควบคุมใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นชอบกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวม 8 ฉบับ สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า ประเภทเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พัดลมไฟฟ้า เครื่องทำน้ำอุ่น หม้อหุงข้าว กระติกน้ำร้อน เครื่องทำน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศ (Chiller) และกระจก ซึ่งจะช่วยให้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศได้มาตรฐานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์กับประชาชน และในปี 2552 กระทรวงพลังงานจะดำเนินการอีก 27 รายการ
นายวีระพล กล่าวว่า ที่ประชุม กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการบริหารกองทุนน้ำมันฯภายหลังการใช้หนี้หมดแล้วจะจัดสรรอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1.ลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับประชาชน 50 สตางค์ต่อลิตร 2. โอนอัตราการเก็บเงินสำหรับน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล 50 สตางค์ต่อลิตร เข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อใช้ในการลงทุนพัฒนาระบบขนส่ง เช่น โครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต รถไฟทางคู่สายฝั่งทะเลตะวันออก เป็นต้น และ 3. ส่วนที่เหลือเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อสะสมไว้เป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินที่อาจจำเป็นต้องรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศในช่วงสั้นๆ และใช้สนับสนุนการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
- พ.ย. ๒๕๖๗ “กกพ.” ชูมาตรการราคา หนุนภาคธุรกิจลดพีค ลดค่าไฟ
- พ.ย. ๘๖๑๔ กกพ. ตรึงค่าเอฟที ที่ -15.90 สต.ต่อหน่วย ถึง ส.ค. 61
- พ.ย. ๒๕๖๗ กกพ. ตรึงค่าเอฟทีถึง เม.ย. 61