โครงการนำร่องการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งสินค้าและบริการ (Logistics)

จันทร์ ๒๒ ตุลาคม ๒๐๐๗ ๑๗:๔๕
กรุงเทพฯ--22 ต.ค.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2550 ว่าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้สำนักงานโยบายและแผนการขนส่งและจราจร จัดทำโครงการนำร่องการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งสินค้าและบริการ (Logistics) ทางรถไฟ รวม 2 เส้นทาง คือ
1. เส้นทางระหว่างจังหวัดขอนแก่น — จังหวัดนครราชสีมา กับท่าเรือแหลมฉบัง
2. เส้นทางระหว่างจากย่านกองเก็บตู้สินค้า (Container Depot : ICD) ที่ลาดกระบังและท่าเรือแหลมฉบัง
ทั้งนี้เพื่อเป็นต้นแบบในการสนับสนุนให้มีการขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ทางรถไฟ โดยมีการรวบรวมและกระจายสินค้าที่ย่านกองเก็บตู้สินค้า (CY) ในภูมิภาค และให้การขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกเป็นตัวสนับสนุน ในลักษณะการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) อย่างเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการขนส่งสินค้าส่งออกไปยังท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
เหตุผลความจำเป็น
1. สภาพการขนส่งของประเทศและปัญหา
1.1 โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ระบบการขนส่งที่ดีเป็นปัจจัยหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาประเทศทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งปัจจุบันระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ ไม่ว่าด้านการขนส่งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ยังมีปัญหาขาดการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการขนส่งระบบรางที่มีความจำเป็นต้องเร่งพัฒนา
1.2 ส่วนแบ่งการขนส่งสินค้า (Modal Split) ด้วยข้อจำกัดของระบบการขนส่งทางน้ำและทางรถไฟที่ไม่สามารถขนส่งแบบประตูสู่ประตู (door — to — door) ได้ และยังต้องพึ่งพาการขนส่งทางถนนซึ่งส่งผลให้เกิดการดำเนินการที่ซ้ำซ้อน (Double Handling) ในขณะที่การขนส่งทางถนนสามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการได้มากกว่า เท่าที่ผ่านมาการขนส่งทางถนนจึงมีข้อได้เปรียบและมีส่วนแบ่งการขนส่งที่สูงกว่าการขนส่งสาขาอื่น ๆ มาก โดยมีการขนส่งสินค้าทางรถบรรทุกสูงถึงร้อยละ 86.32 ในขณะที่การขนส่งสินค้าทางน้ำเป็นร้อยละ 11.62 ส่วนการขนส่งทางรถไฟมีเพียงร้อยละ 2.05 และการขนส่งสินค้าทางอากาศร้อยละ 0.01 เท่านั้น
1.3 ต้นทุนการขนส่ง การขนส่งทางน้ำและทางรางถือเป็นระบบการขนส่งที่ประหยัด เมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งทางถนนหรือรถบรรทุก กล่าวคือ หากเปรียบเทียบปริมาณการขนส่งสินค้าต่อน้ำมันเชื้อเพลิง 1 ลิตร จะพบว่า รถบรรทุกสามารถขนส่งได้ 25 ตัน/ กม./ ลิตร ในขณะที่การขนส่งทางรถไฟสามารถขนส่งได้มากถึง 85.5 ตัน/ กม. /ลิตร และการขนส่งทางน้ำจะสามารถบรรทุกสินค้าได้มากที่สุด 217 ตัน/ กม./ ลิตร
รูปแบบการขนส่ง อัตราการบรรทุกตัน/ กม./ ลิตร
รถบรรทุก 1 คัน ขนสินค้าได้ 13 — 14 ตัน 25
รถไฟ 1 ขบวน (เท่ากับรถบรรทุก 70 -80 คัน) ขนสินค้าได้ 1,000 ตัน 85.5
เรือลำเลียง 1 พ่วง (เท่ากับรถบรรทุก 300 — 400 คัน) ขนสินค้าได้ 4,000 — 5,000 ตัน 217
นอกจากนั้นหากเปรียบเทียบต้นทุนการขนส่งต่อหน่วย จะพบว่า การขนส่งทางน้ำและทางรถไฟมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำกว่าการขนส่งทางถนนอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ การขนส่งด้วยรถบรรทุกมีต้นทุนสูงถึง 2.19 บาท / ตัน — กม. ในขณะที่การขนส่งทางรถไฟมีต้นทุน 1.38 บาท / ตัน — กม. และการขนส่งทางน้ำ มีต้นทุนการขนส่งถูกที่สุด 0.52 บาท / ตัน — กม.
ค่าใช้จ่าย รถบรรทุก รถไฟ เรือลำเลียง/ชายฝั่ง
ค่าใช้ยานพาหนะ (Vehicle Operating Cost : VOC) 0.8794 0.6766 0.7131
ค่าใช้ยานพาหนะ (VOC) รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าขนส่งต่อเนื่อง ค่าเสียเวลา ค่าขนถ่าย ต้นทุนมลภาวะ ฯลฯ 1.7076 1.2755 0.4898
ค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง 0.4802 0.1029 0.0346
รวม 2.1878 1.3784 0.5244
1.4 การใช้พลังงานในภาคการขนส่ง ปัจจุบันมีการขนส่งทางถนนด้วยรถบรรทุกในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 86 ซึ่งไม่เป็นการประหยัด และมีต้นทุนการขนส่งสูง ทำให้การใช้พลังงานในภาคการขนส่งที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักของประเทศมีปริมาณมากที่สุดถึงประมาณร้อยละ 37 ของปริมาณการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศ ซึ่งมีมูลค่าการใช้พลังงานสูงถึง 4.4 แสนล้านบาทต่อปี ดังนั้น หากไม่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งไปสู่รูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น ระบบรางและการขนส่งทางน้ำ ในขณะที่ระดับราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ย่อมจะเป็นผลเสียต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต
2. แนวทางการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบจัดการขนส่งสินค้าและบริการทางรถไฟ
ดังนั้น เห็นสมควรให้มีการดำเนินโครงการนำร่องการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งสินค้าและบริการ (Logistics) ขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งสินค้าทางรถไฟที่มีประสิทธิภาพและสามารถลดต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยในเบื้องต้นจะเลือกสินค้าและเส้นทาการขนส่งที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในการปรับรูปแบบการขนส่งจากเดิมที่ใช้รถบรรทุกเป็นหลักมาใช้การขนส่งทางรถไฟ (Modal Shift) เพื่อการส่งออกให้มากขึ้น คือ ข้าวสาร แป้งมันสำปะหลัง และน้ำตาลทราย รวม 2 เส้นทางการขนส่ง คือ
ก) โครงการนำร่องการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งข้าวสาร แป้งมันสำปะหลัง และน้ำตาลทราย ทางรถไฟ ระหว่าง จ. ขอนแก่น — จ. นครราชสีมา — ท่าเรือแหลมฉบัง และ
ข) โครงการนำร่องการพัฒนาระบบการจัดการขนส่งข้าวสารทางรถไฟระหว่าง จ.นครสวรรค์ — สถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ที่ลาดกระบัง — ท่าเรือแหลมฉบัง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
การดำเนินงานโครงการนำร่องการพัฒนาระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าทางรถไฟในเส้นทางขอนแก่น — นครราชสีมา — ท่าเรือแหลมฉบัง และเส้นทางย่านกองเก็บตู้สินค้า (CY) ท่าข้าวกำนันทรง จ.นครสวรรค์ — สถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ที่ลาดกระบัง — ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีความต้องการของการขนส่งทางรถไฟที่สูงที่สุด โดยจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งข้าวสาร แป้งมันสำปะหลัง และน้ำตาลทราย ซึ่งเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศ นอกจากนั้นยังจะทำให้เจ้าของสินค้าและผู้ประกอบการขนส่งสินค้าเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง (Modal Shift) จากการขนส่งทางรถบรรทุกมาใช้การขนส่งทางรถไฟมากขึ้น เนื่องจากประหยัด สะดวก และปลอดภัย ซึ่งจะทำให้ลดปัญหาจราจรและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงถนนอีกด้วย สำหรับการดำเนินการจัดตั้งโรงงานปรับปรุงคุณภาพข้าวบริเวณ จ.นครสวรรค์ นั้น เป็นการเพิ่มมูลค่าของข้าวสาร สามารถสร้างการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้กับภาคการเกษตร อุตสาหกรรมและการบริการในท้องถิ่นโดยตรง รวมทั้งจะส่งผลให้จังหวัดนครสวรรค์เป็นศูนย์กลางการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ และศูนย์กลางส่งออกข้าวของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่างอีกด้วย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO