FED จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม 11 ธ.ค. นี้ และปรับลดอีก 2 ครั้งในปีหน้า

อังคาร ๑๑ ธันวาคม ๒๐๐๗ ๑๐:๔๕
กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
การประชุม FOMC ของสหรัฐฯที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 ธ.ค. 50 นับเป็นที่จับตามองของนักวิเคราะห์ทั่วโลก เนื่องจากเป็นการตัดสินใจท่ามกลางความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจชะลอตัวลงจนถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอยอันเป็นผลกระทบจากวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ลุกลามเข้าสู่ภาคการเงินของสถาบันการเงินทั่วโลก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและเงินดอลลาร์ที่เสื่อมค่าลง ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา คาดว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น (FED Funds Rate) ลงอีกในการประชุมครั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาในภาคการเงินส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของสหรัฐฯได้ปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ในบัญชีลงหลายพันล้านดอลลาร์เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์มในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯบางส่วนได้รับผลกระทบจากภาวะตกต่ำของตลาดที่อยู่อาศัยและภาวะตลาดสินเชื่อตึงตัว พิจารณาจากยอดขายบ้านใหม่สำหรับครอบครัวเดี่ยวเดือน ต.ค. 50 เพิ่มขึ้นเพียง 1.7% จากเดือนก่อนหน้า โดยราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยหดตัว 8.6% จากเดือน ก.ย. 50 และหดตัว 13% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราการลดลงที่มากสุดในรอบ 26 ปีและรอบ 37 ปีเมื่อเทียบเป็นรายเดือนและรายปี ตามลำดับ ส่วนสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านที่ได้รับการอนุมัติมีจำนวนลดลง ส่งผลให้มีบ้านค้างสต็อกจำนวน 516,000 หน่วยซึ่งต้องใช้เวลา 8.5 เดือนจึงจะขายได้หมด สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจเดือน พ.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงแตะระดับ 87.3 ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 48 ดัชนีภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เดือน พ.ย. ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 50.8 และ 54.1 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 10 เดือนและรอบ 8 เดือน ตามลำดับ หากดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 จะบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวในภาคการผลิต ขณะที่ The National Association of Home Builders ระบุความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตถึง 4.9% (qoq) สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 46 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากประสิทธิภาพการผลิตนอกภาคเกษตรหรือผลผลิตรายชั่วโมงต่อคนงานในไตรมาสเดียวกันเพิ่มขึ้น 6.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 4 ปี ส่วนยอดคำสั่งซื้อใหม่ของโรงงานเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนเดียวกันปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ด้านอุปกรณ์ป้องกันประเทศและการขนส่ง ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนที่สำรวจโดย ADP Employer Services เพิ่มขึ้น 189,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 50,000 ตำแหน่ง สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังมีการขยายตัวในบางภาคเท่านั้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะปรับลด FED Funds Rate ลงในการประชุมวันที่ 11 ธ.ค. นี้ แต่คาดว่าจะปรับลดเพียง 0.25% มาสู่ระดับ 4.25% เนื่องจาก FED ยังคงคำนึงถึงความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อควบคู่กันไป โดยในเดือน ต.ค. อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 3.5% จากเดือนเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 49
สำหรับการประชุมครั้งถัดไปในเดือน ม.ค. 51 คาดว่า FED ยังมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เนื่องจากผลกระทบของภาคอสังหาฯและวิกฤตสินเชื่อน่าจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในปี 51 ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีบ้านจำนองครบกำหนดสัญญาต้องใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวกว่า 2 ล้านราย ประกอบกับสถาบันการเงินและบริษัทต่างๆ ทยอยประกาศผลประกอบการในช่วงต้นปี 51 ซึ่งจะสะท้อนว่ามีการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ในบัญชีสืบเนื่องจากปัญหาซับไพร์มอีกมากเพียงใด ทั้งนี้ OECD ประมาณการว่าสัญญาจำนองซับไพร์มราว 8.9 แสนล้านดอลลาร์จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยใหม่ในปี 51 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากราว 7.5 แสนล้านดอลลาร์ในปี 50 อีกทั้งได้คาดการณ์ว่าความเสียหายที่เกิดจากวิกฤตสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยให้แก่ลูกหนี้ซับไพร์มอาจมีมูลค่ารวมสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือน พ.ย. ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ ได้ระดมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินและขยายระยะเวลาในการให้กู้ยืมจนถึงช่วงต้นปี 51 เป็นการสะท้อนถึงภาวะตึงตัวของตลาดสินเชื่อ (Credit Crunch) ที่ยังคงเป็นปัญหาที่ธนาคารกลางต่างๆให้ความสำคัญ ทั้งนี้ จากภาวะวิกฤตในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และการพิจารณาสินเชื่อที่รัดกุมขึ้น รวมทั้งการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ FED ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 51 ลงมาอยู่ที่ระดับเพียง 1.8-2.5% จากเดิม 2.5-2.75% และลดคาดการณ์ Core PCE inflation ลงมาที่ 1.7-1.9% จากเดิม 1.75-2% การปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังคงอ่อนแอ ตลอดจนคำกล่าวของประธานและรองประธาน FED ที่แสดงความวิตกกังวลต่อตลาดสินเชื่อในขณะนี้ อีกทั้งยังมีความเห็นว่าธนาคารกลางต้องการความยืดหยุ่นและเตรียมพร้อมอย่างไม่มีข้อจำกัด ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ FED มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปเพื่อป้องกันมิให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย
อย่างไรก็ตาม คาดว่า FED คงไม่ปรับลดดอกเบี้ยลงมากนัก เนื่องจากมีสัญญาณว่าความรุนแรงของปัญหาซับไพร์มน่าจะมีแนวโน้มบรรเทาลงภายหลังจากที่ทางการสหรัฐฯได้เข้ามาช่วยแก้ไขวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพื่อให้เจ้าของบ้านรอดพ้นจากการถูกยึดทรัพย์ ด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลา 5 ปี ให้แก่ลูกหนี้กลุ่มที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (subprime) สำหรับสินเชื่อที่ทำระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 48 จนถึง 31 ก.ค. 50 ซึ่งจะมีกำหนดปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวในช่วง 2 ปีครึ่งข้างหน้าถัดจากวันที่ทำสัญญา โดยทางการคาดว่าเจ้าของบ้านจำนวนมากถึง 1.2 ล้านรายจะได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการดังกล่าว นอกจากนี้ หากพิจารณาแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้งยุโรปและญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มว่ายังทรงตัวต่อไป โดยคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม 4.0% ต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง จากภาวะเศรษฐกิจใน Euro Zone ซึ่งแม้จะมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาส 4 จากปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและเงินยูโรแข็งค่าแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.49 ดอลลาร์/ยูโรซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและภาคส่งออก ทว่าอัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ย. ที่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง 3.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อนโดยเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 6 ปี และเป็นระดับที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมาย 2.0% ต่อปี ทำให้ ECB มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิมหรืออาจปรับขึ้นได้หากเงินเฟ้อยังคงขยายตัวในอัตราเร่ง ทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับปัจจุบัน 0.50% อีกระยะหนึ่ง แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตราสูงกว่าช่วงที่ผ่านมา อันเป็นผลจากภาคการผลิตและภาคส่งออกมีอัตราการเติบโตในเกณฑ์ดี ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนเดียวกันปีก่อน แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการจ้างงานปรับลดลงมาสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี รวมทั้งการสูงขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีความไม่แน่นอน ขณะที่ภาคการเงินของทั้งยุโรปและญี่ปุ่นอาจได้รับผลกระทบบางส่วนจากปัญหาวิกฤตสินเชื่ออสังหาฯในสหรัฐฯ
ฝ่ายวิจัยจึงมองว่าผลจากมาตรการของรัฐบาลสหรัฐฯในการช่วยเหลือลูกหนี้ซับไพร์ม ซึ่งน่าจะบรรเทาผลกระทบทำให้วิกฤตการณ์ในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯคลายความรุนแรงลงบางส่วน ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ชะลอตัวลงรุนแรงเกินควร เมื่อประกอบกับแนวโน้มการทรงตัวของอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ย FED Funds Rate ลงอีกไม่เกิน 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกปี 51 ทั้งนี้ หากมีการปรับลด FED Funds Rate ที่มากและรุนแรงเกินไปอาจส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากเกินควร และเมื่อประกอบกับราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจกดดันให้ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นผลร้ายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯได้
สำหรับผลกระทบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยคงมีไม่มากนัก เนื่องจากการพิจารณาดอกเบี้ยของไทยน่าจะขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก โดยการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะช่วยทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การเร่งลงทุนในภาครัฐและการดำเนินโครงการ Mega Projects ในบางส่วน จะส่งผลให้การลงทุนภาคเอกชนเร่งตัวขึ้นตาม ทำให้การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปี 51 ขยายตัวได้ในระดับ 3.0-3.8% และ 7.5-8.5% ตามลำดับ เมื่อผนวกกับอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการในประเทศหลายรายการ รวมทั้งสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากผลการออกพันธบัตรจำนวนมากของทางการเพื่อระดมทุนและชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะทรงตัวในระดับเดิมที่ 3.25% ในครึ่งปีแรก และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นได้ในช่วงปลายปี 51 ตามภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO