ก้าวที่กล้า...ของคนรุ่นใหม่ “ปาล์ม” พชร นริพทะพันธุ์

กรุงเทพฯ--12 ธ.ค.--พรรคเพื่อแผ่นดิน
ก้าวที่กล้า...ของคนรุ่นใหม่ “ปาล์ม” พชร นริพทะพันธุ์
ดาวรุ่งดวงใหม่ในสนามการเมือง ..บทบาท “รองโฆษก” พรรคเพื่อแผ่นดิน..
จากจุดเริ่มต้นด้วยความชื่นชอบและสนใจเรื่องการบ้านการเมืองตั้งแต่วัยเยาว์ นับเป็นจุดที่แตกต่างจากรุ่นราวคราวเดียวกัน ส่งผลให้มา วันนี้ พชร นริพทะพันธุ์ (ปาล์ม) ก็ก้าวเป็น “รองโฆษก” ของพรรคเพื่อแผ่นดิน ด้วยวัยเพียง 22 ปี นับเป็นรองโฆษกที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย
อาจกล่าวได้ว่า ณ ขณะนี้ พชร ยังไม่มีความพร้อมอย่างเต็มที่ สำหรับงานทางการเมือง ด้วยปัจจัยสำคัญคือ ในด้านอายุที่น้อยกว่าเกณฑ์... แต่ พชร มั่นใจในฐานะคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามารับใช้งานทางการเมืองด้วยความตั้งใจจริง กับตำแหน่ง “รองโฆษก” เพราะต้องการที่จะเห็นการเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และสิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ การที่จะได้ผู้นำหรือนักการเมืองที่จะต้องมีคุณธรรม และจริยธรรม อันจะทำให้การเมืองไทยนั้นพัฒนาได้มากกว่าที่เป็นอยู่...
“ปาล์ม” อายุเพียง 22 ปี ไม่เพียงแต่เป็นนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ ในตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร South Sea Grand Pakarang Resorts and Spa จังหวัดพังงา รองประธาน ฝ่ายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ The South Sea Group ก็ประสบความสำเร็จชนิดอะไรก็ฉุดไม่อยู่...ด้วยจุดยืนที่ชัดเจนของกลุ่มเป้าหมาย และรูปแบบการดำเนินธุรกิจ บวกกับฝีมือการบริหารงานแบบคนรุ่นใหม่ ความสำเร็จด้านการบริหารงานโรงแรม นับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงฝีมือ หนุ่มน้อยคนนี้ได้เป็นอย่างดี และอีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่น่าจับตามอง คือ งานทางด้านการเมือง ที่ได้ก้าวเข้ามาทำตั้งแต่วัย 16 ปี
ซึมซับงานการเมืองตั้งแต่อายุ 3 ขวบ
“คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ผมอายุเพียง 3 ขวบ ชอบมานั่งตักคุณพ่อ เพื่อฟังพวกเพื่อนๆ คุณพ่อ คุยแลกเปลี่ยนความเห็นในเรื่องการเมือง พอโตหน่อยก็จะชอบอ่านหนังสือพิมพ์หน้าการเมือง เพื่อจะได้มาพูดคุยกับผู้ใหญ่ในวงสนทนา”
มันจึงถูกซึมซับแบบไม่รู้ตัว...ผมไปโรงเรียนก็พยายามที่จะหาเพื่อนรุ่นเดียวกันเพื่อคุยในเรื่องการเมือง แต่เพื่อนๆ ส่วนใหญ่ไม่สนใจ...
ประตูแห่งโอกาสได้มาถึงผมในวัยเพียง 16 ปี เมื่อได้พบกับลุงสุวิทย์ คุณกิตติ ท่านเห็นว่าผมหน่วยก้านเข้าท่าดีจึงให้ผมมาฝึกงานในช่วงปิดเทอม โดยการคอยจดบันทึกปัญหาต่างๆ ของประชาชนที่ท่านไปเยี่ยมเยือนในสถานที่ต่างๆ ให้คอยติดตามข่าวสารต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
จากการได้มีโอกาสเรียนรู้งานต่างๆ โดยเฉพาะการเข้าถึงและรับรู้ปัญหาต่างๆ จากประชาชนโดยตรง ทำให้ผมได้รับรู้และเห็นถึงปัญหาต่างๆ อย่างชัดเจน...
ประสบการณ์ที่เห็นได้ชัดๆ คือ ตอนเกิดสึนามิเมื่อปี 2547 ผมได้เข้าไปช่วยเหลือกับประชาชนผู้ประสบภัย โดยรับผิดชอบเป็น รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ศูนย์สึนามิ เขาหลัก มีหน้าที่หลักๆ คือ ประสานงานกับญาติของผู้ประสบภัย และผู้ประสบภัยโดยเฉพาะชาวต่างชาติ คอยให้คำปรึกษา และขั้นตอนการทำงานต่างๆ รวมถึงการประสานงานกลับประเทศของผู้ประสบภัย ตลอดจนการจัดลำดับการรับศพของชาวต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวนเยอะมากๆ ในช่วงนั้นบอกได้เลยว่าเราต้องอาศัยประสบการณ์เกือบทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการเจรจา เพราะผู้ประสบภัยต้องการกลับประเทศของพวกเขา ส่วนญาติผู้ประสบภัยก็อยากจะนำศพไปประกอบพิธีศาสนา ในขณะนี้เจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทยก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาที่บีบคั้น
ปี 2548 ได้เป็น “เลขาธิการส่วนตัว” ของรมต.กระทรวงเทคโนโลยี และการสื่อสาร (คุณสุวิทย์ คุณกิตติ) ท่านสุวิทย์ให้ดูแลในเรื่องของการประสานงานระหว่างประเทศเป็นหลัก
ปี 2549 ก็ได้เข้ามาทำงานในส่วนของ “กองทุนหมู่บ้าน” โดยโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เป็นนโยบายการแก้ปัญหาความยากจน ที่มีผลโดยตรงต่อประชาชนในระดับชุมชน
ตั้งใจแน่วแน่รับใช้ประชาชน
แม้เป้าหมายทางการเมืองจะไม่ได้ถูกกำหนดกรอบอย่างชัดเจน แต่ความตั้งใจจริงอย่างแน่วแน่ว่าจะขอรับใช้ประชาชนนั้นได้ถูกกำหนดแล้วแน่นอน จากประสบการณ์งานการเมืองที่ผ่านมา ผมขอใช้คำว่า “นักการเมืองต้องเป็นทาสของประชาชน” ในที่นี้หมายถึงว่า ต้องคอยดูแล และแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน เพราะประชาชนนั้นเป็นผู้เลือกนักการเมืองเพื่อเป็นตัวแทนหรือเป็นปากเสียงกับประชาชนในเรื่องต่างๆ
สนใจงานด้านพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิต และการศึกษา
พชร หรือ น้องปาล์ม นับเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่ขอก้าวเข้าสู่งานการเมืองอย่างชัดเจน จากการเรียนรู้งานการเมืองที่เข้าถึงตัวประชาชน ทำให้มีความสนใจ และอยากทำงานในด้านการพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิตและการศึกษา เพราะเชื่อว่าหากมีนโยบายการศึกษาที่ดีแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาสังคม รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
จัดสรรเวลาพักผ่อนส่วนตัว
นอกเหนือจากการบริหารธุรกิจโรงแรมของครอบครัว งานการเมืองที่ใจรักและอยากทำแล้ว ในช่วงเวลาพักผ่อนของหนุ่มปาล์มคนนี้ คือ การเล่นกีฬาที่ท้าทาย ซึ่งบ่งบอกตัวตนได้อย่างแท้จริง คือ การเล่นกีฬาประเภทยิงเป้าบิน เรือใบ และมอเตอร์ยอชต์
กีฬาทุกประเภทนั้น นอกจากจะให้ความสนุก และความแข็งแรงของร่างกายแล้ว ยังให้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น การยิงเป้าบิน และยิงปืนนั้น เป็นกีฬาที่ต้องอาศัยความแม่นยำแล้ว ยังได้ในเรื่องของการมีสมาธิ และสติเป็นอย่างดี ส่วนเรือใบนั้น จะฝึกพลากำลังของเรา ต้องควบคุมและกำหนดทิศทาง วางแผนการแล่นเรือ ต้องรู้ทิศทางลมเป็นหลัก
จริงๆ แล้วก็เล่นกีฬาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรักบี้ กอล์ฟ ดำน้ำ และมวยนะครับ ในช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร เพราะต้องออกไปช่วยสมาชิกหาเสียง
“วัยรุ่น” กับ Interested Group
วิกฤติทางการเมืองที่ผ่านมา จนถึง ณ วันนี้ นับว่าค่อนข้างรุนแรง เกิดความแตกแยกในสังคมมากที่สุด เพราะฉะนั้นในฐานะคนรุ่นใหม่ไฟแรง จึงหวังจะให้คนรุ่นใหม่ หรือคนที่มีความตั้งใจจริงเข้ามาทำงานด้านการเมืองมากๆ นำประสบการณ์ดีๆ มาใช้ผสมผสานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่จากภาคธุรกิจเอกชน อาจารย์ นักวิชาการ เป็นต้น เพื่อไม่ให้การเมืองไทยเป็น “การเมืองน้ำเน่า” เหมือนกับที่หลายๆ คนครหากัน
และในฐานะที่ตนยังอยู่ในช่วงของ “วัยรุ่น” ก็อยากจะชักชวนให้กลุ่ม “วัยรุ่น” เด็กไทยนั้นหันมาสนใจ โดยอาจจะตั้งเป็นกลุ่ม (Interest Group) ในเรื่องของการเมือง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
วัยรุ่นส่วนใหญ่จะคิดว่า การเมืองนั้นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เป็นเรื่องที่น่ากลัว อยากจะฝากให้คิดว่า “ผู้ใหญ่ที่ทำในวันนี้ก็จะส่งผลกระทบกับเราในอนาคต”
ทั้งนี้อยากขอฝากทิ้งท้ายสักนิดว่า ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงได้นั้น ขึ้นอยู่กับ “ผู้นำ” หรือ “นักการเมือง” นั้น ต้องเป็นคนที่มีจริยธรรมและมีความคุณธรรมอยู่ในตัวตน