กรุงเทพฯ--29 ก.พ.--เจดี พาร์ทเนอร์
บมจ.ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี ระบุผลดำเนินงานปี 2550 ยังรักษาระดับรายได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แม้สภาพตลาดคอนกรีตและวัสดุก่อสร้างโดยรวมชะลอตัวติดลบ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.43% เป็นผลจากนโยบายเลือกรับงาน การควบคุมต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการตั้งสำรองหนี้และการด้อยค่าสินทรัพย์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิลดลง 73.27% มาอยู่ที่ 52.80 ล้านบาท จาก 197.53 ล้านบาท เมื่อปี 2549
(29 กุมภาพันธ์ 2551) นายประทีป ทีปกรสุขเกษม ประธานกรรมการบริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ “CCP” เปิด เผยว่า ผลจากการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างภาครัฐและเอกชนในปี 2550 ที่มีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปีทีผ่านมา อันเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง จนเป็นสาเหตุสำคัญให้ตลาดคอนกรีตและวัสดุก่อสร้างไทยโดยรวมในปี 2550 อยู่ในภาวะซบเซาอย่างมากนั้น ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานบางส่วนในปี 2550 ของ CCP อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานหลายด้านให้สอดรับกับภาวะตลาด ที่สำคัญ คือ นโยบายเลือกรับงาน โดยนำเรื่องอัตรากำไรมาประกอบการพิจารณาเลือกรับงานมากขึ้น รวมทั้ง ได้ทำตลาดเชิงรุกไปยังงานเอกชนมากขึ้น เพื่อชดเชยกับปริมาณงานภาครัฐที่ลดลง ควบคู่กับดำเนินนโยบายควบคุมต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ในปี 2550 บริษัทฯ สามารถรักษาระดับรายได้ให้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยมีรายได้จากการขาย การให้เช่าและบริการ อยู่ที่ 2,659.19 ล้านบาท เทียบกับ 2,814.21 ล้านบาท เมื่อปี 2549 ขณะที่ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ลดลงตามรายได้มาอยู่ที่ 2,328.70 ล้านบาท และ 259.81 ล้านบาท ตาม ลำดับ ทั้งนี้ ในปี 2550 แม้บริษัทฯ ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบต่างๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.43% จาก 11.78% เมื่อปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในปีนี้ บริษัทฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงมาอยู่ที 128.39 ล้านบาท จาก 140.73 ล้านบาท ในปี 2549 เนื่องจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด อีกทั้งบริษัทย่อย อันได้แก่ บริษัท ชลบุรีกันยง จำกัด ที่ประกอบธุรกิจร้านค้าโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซม ตกแต่งบ้าน “กันยงโฮมสโตร์” และบริษัท สมาร์ท คอนกรีต จำกัด ที่ประกอบธุรกิจคอนกรีตมวลเบา “สมาร์ทบล็อก” มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งเมื่อประกอบกับการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญและการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุให้ปี 2550 บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานลดลง 73.27% มาอยู่ที่ 52.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุน 0.17 บาทต่อหุ้น เมื่อเทียบกับผลขาดทุน 197.53 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุน 0.64 บาทต่อหุ้น เมื่อปี 2549
สำหรับธุรกิจคอนกรีตที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ผลประกอบการประจำปี 2550 พบว่า มีรายได้ลดลงเป็นไปตามทิศทางเดียวกับผู้ประกอบ การคอนกรีตรายอื่นในอุตสาหกรรม โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,600.13 ล้านบาท จาก 1,851.73 ล้านบาท เมื่อปี 2549 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนขายในการดำเนินธุรกิจคอนกรีตได้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 11.78% เทียบกับ 10.56% เมื่อปี 2549 และจากการที่บริษัทฯ มีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลง มาอยู่ที่ 0.44 ล้านบาท จาก 52.22 ล้านบาท เมื่อปี 2549 อีกทั้ง เนื่องจากบริษัทย่อยมีผลการดำเนินงานดีขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีการรับรู้ผลขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทย่อยลดลงมาอยู่ที่ 60.00 ล้านบาท จาก 107.40 ล้านบาท เมื่อปี 2549 นั้น จึงทำให้ผลดำเนินงานเฉพาะบริษัทฯ มีขาดทุนสุทธิลดลง 73.77% มาอยู่ที่ 38.24 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุน 0.12 บาทต่อหุ้น เมื่อเทียบกับผลขาดทุน 145.81 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุน 0.47 บาทต่อหุ้น เมื่อปี 2549
“ปี 2550 แม้ผลการดำเนินงานบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากเงินลงทุนด้านการก่อสร้างของภาครัฐและภาคเอกชนที่ลดลง แต่ผลิตภัณฑ์คอนกรีตทุกประเภทของ CCP ยังคงได้รับความไว้วางใจให้มีส่วนร่วมในโครงการก่อสร้างภาครัฐและเอกชนสำคัญหลายแห่ง เช่น ทางด่วนบูรพาวิถี — สุวรรณภูมิ, ทางด่วนรามอินทรา — อาจณรงค์, เซ็นทรัลเวิร์ล พัทยา, โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียโคราช เฟส2, โรงแรมลองบีช พัทยา, Siam Sea Port, มหาวิทยาลัยอัญสัมชัญ2, สะพานข้ามแยกลาดพร้าว, โรงงานดาว เคมิคอล, คลังวัสุด ปตท., โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์, ทางหลวงหมายเลข 7 สำหรับปี 2551 สถานการณ์การเมืองที่มีความชัดเจนขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง คาดว่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค ทำให้การลงทุนของภาคเอกชนและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับความคืบหน้าของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปีนี้ และนโยบายเร่งรัดการลงทุนที่สำคัญของประเทศของรัฐบาลใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 9 สาย รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟชานเมือง บริษัทฯ จึงเชื่อมั่นว่า ในปี 2551 ตลาดคอนกรีตและวัสดุก่อสร้างจะกลับมามีอัตราการขยายตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และจะเป็นปัจจัยเอื้อให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน บริษัทฯ จึงตั้งเป้าว่า ในปี 2551 จะมียอดขายเติบโตประมาณ 5% โดยขณะนี้บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือสำหรับธุรกิจคอนกรีต ประมาณ 1,500 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ถึงเดือนธันวาคมปี 2551 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างในพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน นิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง งานส่วนต่อขยายท่าเรือ”
สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัทย่อย ในส่วนธุรกิจร้านค้าปลีกโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน “กันยงโฮมสโตร์”
บริษัทฯ คาดว่ายอดขายยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีและพัทยา ประกอบกับบริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงร้าน “กันยงโฮมสโตร์” สาขาชลบุรี ให้มีพื้นที่ขายมากขึ้น ด้วยการพัฒนาคลังสินค้าเดิมที่ตั้งอยู่ติดกับร้านเดิมให้เป็นโชว์รูมใหม่อีกแห่งหนึ่ง และเพิ่มประเภทสินค้าและบริการต่างๆ ภายในบ้านให้ครอบคลุมทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายและกลุ่มลูกค้าของสาขาชลบุรีเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดในปี 2551 ด้านบริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด ผลจากการปรับราคาขายให้สอดรับกับต้นทุนการผลิตมากขึ้น และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติการใช้งานที่โดดเด่นกว่าคอนกรีตมวลเบาทั่วไปในตลาด เช่น คอนกรีตมวลเบาสำหรับการก่อสร้างตกแต่งผนัง บล็อคประสานมวลเบาสำหรับงานตกแต่งสำเร็จ ประกอบกับแนวโน้มงานก่อสร้างในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญเรื่องการประหยัดพลังงาน การลดต้นทุนและระยะเวลาในการก่อสร้างมากขึ้นนั้น จึงคาดการณ์ว่า ยอดขายคอนกรีตมวลเบาของบริษัทฯ ในปี 2551 จะเติบโตเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ที่ขยายตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาเช่นกัน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
บริษัท เจดี พาร์ทเนอร์ จำกัด
โทร (02) 661-8803-5 โทรสาร (02) 661-8813
E-mail : [email protected]