ก.พลังงาน เดินหน้า มาตรการเร่งบรรเทาปัญหาราคาน้ำมัน แก่ประชาชน

พุธ ๐๕ มีนาคม ๒๐๐๘ ๑๕:๕๕
กรุงเทพฯ--5 มี.ค.--ก.พลังงาน
ก.พลังงาน เดินหน้า มาตรการเร่งบรรเทาปัญหาราคาน้ำมัน แก่ประชาชน ภายหลังได้ข้อสรุปการประชุมหาแนวทางและตั้งรับน้ำมันแพงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในวันนี้ (5 มี.ค.51) ได้เรียกประชุมผู้บริหารกระทรวงพลังงานประกอบด้วย ปลัดกระทรวงฯ รองปลัดฯ ทั้งสองท่าน อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. และรองฯ ทั้งสองท่าน เพื่อหาแนวทาง และตั้งรับเรื่องน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุม ได้มีการพิจารณามาตรการลดผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้น ได้ข้อสรุปมาตรการต่างๆ ที่จะต้องนำไปหารือเพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ต่อไป ได้แก่
1. มาตรการระยะสั้น จะเป็นมาตรการทางด้านการบริหารจัดการเก็บเงินเข้ากองทุน เบื้องต้น จะชะลอเก็บเงินช่วงสั้นๆ ที่น้ำมันมีราคาสูง เข้ากองทุนฯ อนุรักษ์ 50 สตางค์/ลิตร ที่เกี่ยวข้องกับการทำระบบขนส่งมวลชนออกไปก่อน เนื่องจากการเก็บเงินดังกล่าวเป็นการเก็บไปชำระค่าเงินต้นของเงินกู้รถไฟฟ้า มีการชำระดังกล่าว เมื่อมีปัญหาเท่านั้น ซึ่งยังเป็นเรื่องอีกยาวไกล 5-6 ปี ข้างหน้า ลดหรือเลิกการเก็บเงินกองทุนน้ำมันที่เก็บลิตรละ 10 สตางค์จากดีเซลออกไปก่อน ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระลงไปใช้วิธีการบริหารรายได้รายเดือนเงินกองทุนน้ำมันทีเก็บจาก น้ำมันชนิดอื่น ๆ มาช่วยชดเชยดีเซล อีกประมาณลิตรละ 30 สตางค์ โดยรวมแล้วจะช่วยลดราคาน้ำมันได้เกือบ 1 บาทต่อลิตร ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันไม่ให้ปรับขึ้นโดยเร็ว และที่สำคัญวิธีการดำเนินงานทั้งหมดขั้นต้น จะไม่ส่งผลลบต่อสถานะกองทุนน้ำมันอย่างเด็ดขาด
2. มาตรการระยะยาว จะเร่งส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์หรือเอ็นจีวี โดยเร่งให้สามารถทดแทนการใช้น้ำมันได้ถึงร้อยละ 20 ภายในปี 2554 โดยตั้งเป้าให้ภายใน 4 ปี จะต้องมีรถยนต์ใช้เอ็นจีวีได้ถึง 210,860 คัน รถบรรทุกโดยสารอีก 56,940 คัน และมีสถานีบริการเอ็นจีวีเพิ่มขึ้นเป็น 580 แห่ง โดยในสิ้นปีดังกล่าวจำนวนรถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวีจะเพิ่มเป็น 235,000 คัน รถบรรทุกโดยสาร 88,000 คัน และจำนวนปั๊มเพิ่มเป็น 725 ปั๊มทั่วประเทศ
โดยกระทรวงพลังงานจะเร่งดำเนินการ พิจารณาเพิ่มวงเงินจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานในโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์จาก 2,000 ล้านบาทเป็น 4,000 ล้านบาท รวมเดิมที่ ปตท. ดำเนินการ 5,000 ล้าน และสนพ. 2,000 ล้านบาท เป็น รวมทั้งสิ้น 9,000 ล้านบาท โดยคิดดอกเบี้ยต่ำเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปี ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดอู่ติดตั้งถังเอ็นจีวีมากขึ้นและเกิดปั๊มเอ็นจีวีมากขึ้นทันตามกำหนดเวลาด้วย
เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องการขออนุญาตที่มีขั้นตอนซับซ้อน เช่นการวางท่อก๊าซเข้าสถานีแม่ การตั้งปั๊มเอ็นจีวี ที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคในการเพิ่มจำนวนปั๊มเอ็นจีวี รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ด้วย
ขอความร่วมมือกระทรวงการคลัง ขยายระยะเวลาในด้านภาษีอากรที่รัฐบาลช่วยเหลือเป็นการชั่วคราว ที่จะหมดอายุลงในสิ้นปีนี้ (31 ธ.ค. 2551) โดยขอขยายระยะเวลายกเว้นต่อไปอีก 3 ปี เช่นการยกเว้นอากรขาเข้าถังบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดและอุปกรณ์ควบคุมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ และครอบคลุมไปถึงรถบรรทุกด้วย
3. มาตรการการช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้โดยเฉพาะเจาะจง
น้ำมันม่วง จะสามารถกลับมาอุดหนุนได้เหมือนเดิม โดยส่วนต่างจะได้ประมาณ 2 บาท เดิมที่ได้เลิกไปเพราะเงิน 1 บาท ที่ได้จาก คชก.นั้นได้ถูกยกเลิกไป จึงทำให้การอุดหนุนในส่วนนี้ขาดหายไป
น้ำมันเขียว ซึ่งใช้อยู่เดิม เดือนละ 70 ล้านลิตร ก็สามารถช่วยจัดหามาได้เหมือนเดิม ซึ่งส่วนนี้อยู่ในน้ำลึก มีส่วนต่างราคาที่ต่ำกว่าถึง 5 บาท
การส่งเสริมการใช้ก๊าซเอ็นจีวีในภาคการประมง ก็อาจจะต้องสร้าง Plant เพิ่มขึ้นที่สงขลา จากที่มีอยู่แล้วที่จังหวัดระยอง โดยจะส่งเสริมให้ใช้ LNG (Liquefied Natural Gas) ซึ่งได้อัดแน่นพิเศษจนกระทั่งเป็นของเหลว จึงสามารถเติมได้มากกว่าสภาพเป็นก๊าซถึง 6 เท่า
ในส่วนของรถกระบะหรือรถตู้ทั่วไปซึ่งเป็นรถเชิงพาณิชย์ และภาคเกษตรแต่ไม่สามารถดัดแปลงหรือปรับแต่งเครื่องยนต์ไปใช้เอ็นจีวีได้ ก็จะได้รับการดูแลโดยจะทำให้น้ำมัน B5 แตกต่างจากดีเซลทั่วไปเป็นประมาณ 70 สตางค์ต่อลิตร ก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปได้อีก
4. เรื่องมาตรการประหยัดพลังงาน
ในเรื่องนี้ได้มีการหารือกันอย่างกว้างขวางถึง ประเด็นและมาตรการต่าง ๆ ทั้งที่ได้ทำมาแล้วและเรื่องใหม่ๆ ที่จะดำเนินการ โดยที่ประชุมได้สรุปโดยมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานไปดำเนินการในรายละเอียดมาเสนอต่อไป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version