สวทช. จับมือ 2 สถาบันของรัฐฯ จัดสัมมนา ‘เทคโนโลยีสะอาด’ แก่อุตสาหกรรมสิ่งทอไทย

พุธ ๐๑ มิถุนายน ๒๐๐๕ ๑๑:๔๗
กรุงเทพฯ--1 มิ.ย.--สวทช.
สวทช. จับมือ 2 สถาบันของรัฐฯ จัดสัมมนา ‘เทคโนโลยีสะอาด’ แก่อุตสาหกรรมสิ่งทอไทย
โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP)
สวทช. ร่วมกับ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และ ม.เทคโนโลยีราชมงคลฯ จัดสัมมนา “สุดยอด...เทคนิคการจัดการสิ่งทอ : เทคโนโลยีสะอาด ทำกำไรได้จริงหรือ?” หวังกระตุ้นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย พัฒนา “เทคโนโลยีสะอาด” ลดปัญหาของเสีย และสิ่งแวดล้อม พร้อมยกระดับคุณภาพสินค้าส่งออกไทยแข่งขันได้ในลาดโลก
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม นับเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีการจ้างงานในอันดับสูง ตลอดจนก่อให้เกิดอุตสาหกรรมสนับสนุนตามมา แต่กำลังประสบปัญหาจากการเข้ามาทุบตลาดทั่วทุกๆ ประเทศในโลกของสินค้าราคาถูกจากจีน ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าส่งออกในลักษณะเดียวกัน ขณะที่ปัญหาส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย คือ เรื่องต้นทุนของน้ำ และการกำจัดของเสีย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมฟอก ย้อม พิมพ์และตกแต่งสำเร็จของไทย ถือเป็นจุดอ่อนที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย ดังนั้น เพื่อช่วยแก้ไข พัฒนาและสนับสนุนอุตสาหกรรมดังกล่าว ทางสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ร่วมกับ โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย(ITAP) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) จัดสัมมนา “สุดยอด...เทคนิคการจัดการสิ่งทอ : เทคโนโลยีสะอาด ทำกำไรได้จริงหรือ?” ภายใต้โครงการการปรับปรุงและเพิ่มผลผลิตในงานฟอกย้อม พิมพ์ และตกแต่งสำเร็จของอุตสาหกรรมสิ่งทอ ขึ้นระหว่างวันที่ 26 — 27 พฤษภาคม 2548 ที่ผ่านมา
นางสาวสนธวรรณ สุภัทรประทีป หัวหน้างานโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) สวทช. กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอถือเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญยิ่งของประเทศ เพราะในแต่ละปีมีปริมาณส่งออกค่อนข้างสูง แต่ขณะนี้สินค้าในตลาดล่างต้องประสบปัญหาสินค้าราคาถูกจากจีน ขณะที่สินค้าในตลาดบนของไทยก็ยังไม่สามารถสู้สินค้าจากประเทศเกาหลี และตุรกี ได้ เนื่องจากมีคุณภาพที่ดีกว่า ฉะนั้น จึงขึ้นอยู่ที่ปัญหาการปรับตัวของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยเองว่า ควรจะปรับตัวไปในทิศทางใดให้เหมาะสม และจุดสำคัญคือนอกจากเรื่องของด้านการตลาดแล้ว ควรจะมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะเรื่องฟอก ย้อม พิมพ์และตกแต่งสำเร็จของไทย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมสิ่งทอ
“จากการวิเคราะห์ปัญหาฯ พบว่า ปัญหาหลักของอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยที่มักประสบกันมาก คือ ในเรื่องของเครื่องจักร เนื่องจากมีการนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเยอรมัน ทำให้มีเครื่องจักรค่อนข้างหลากหลาย เกิดปัญหาเรื่องการจัดการและอะไหล่ รวมถึงการใช้งานที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่ประเทศไทยเองยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ที่แท้จริงทางด้านเครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ การผลิตเครื่องจักรขึ้นเองในประเทศเพื่อรองรับอุตสาหกรรมสิ่งทอจึงยังมีค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างตุรกี ที่นอกจากจะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพแล้ว ยังพัฒนาเครื่องจักรขึ้นเองและส่งออกจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอในตลาดโลก ปัญหาอีกประเด็นหนึ่งคือ เรื่องของสารเคมี และวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิต ฟอก ย้อม เนื่องจากมีทั้งนำเข้าและผลิตขึ้นในประเทศ ทำให้มีผลต่อเรื่องของคุณภาพมาตรฐานต่างๆ อาจไม่สม่ำเสมอ ปัญหาความเข้าใจถึงคุณสมบัติของแต่ละเฉดสี และเรื่องของการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติได้มาตรฐานตามที่โรงงานต้องการหรือไม่” นางสาวสนธวรรณ กล่าวและว่า
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น ข้อตกลงการค้าเสรี FTA หรือ การขึ้นค่าของเงินสกุลต่างๆ ฯลฯ ซึ่งจะมีผลต่อราคาสินค้า วัตถุดิบ และการเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีน ซึ่งไม่ได้กระทบเฉพาะกับไทย แต่กระทบกับทุกๆ ประเทศทั่วโลก และต่อไปเมื่อจีนสามารถพัฒนาและผลิตเครื่องจักรได้เองแล้วก็จะสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้นได้ในปริมาณที่มากขึ้น ก็จะยิ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องตื่นตัวที่จะปรับปรุงและพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ของตนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต
สำหรับการจัดสัมมนาครั้งนี้ ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งใน “โครงการปรับปรุงและเพิ่มผลผลิตในงานฟอกย้อม พิมพ์ และตกแต่งสำเร็จของอุตสาหกรรมสิ่งทอ” โดยนอกจากจะมีการจัดกิจกรรมการสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการแล้ว ยังมีกิจกรรมการเสาะแสวงหาเทคโนโลยีโดยการพาไปเยี่ยมชมโรงงานที่ประสบความสำเร็จจากการนำเทคโนโลยีสะอาดมาใช้ จากนั้นยังได้จัดกิจกรรมการวิเคราะห์วินิจฉัยปัญหาให้กับโรงงานโดยผู้ประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด และกิจกรรมสุดท้าย คือการนำผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอเข้าไปให้คำปรึกษาแนะนำการแก้ปัญหาให้กับโรงงานเป็นรายแต่ละบริษัท ซึ่งในกิจกรรมที่ 4 นี้ทางโครงการ ITAP ยังได้ให้การสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการถึง 50% ของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือ ไม่เกิน 500,000 บาทต่อโครงการ และผู้ประกอบการยังสามารถทำโครงการได้ถึง 2 โครงการต่อปี ถือเป็นกิจกรรมที่ทางโครงการ ITAP เตรียมไว้สำหรับในการสนับสนุนอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย
ด้าน ผศ.ดร.อภิชาติ สนธิสมบัติ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า เทคโนโลยีสะอาด เป็นการผลิตที่ทำให้เกิดการลดของเสีย ทำให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์สูงขึ้น ทำให้วัตถุดิบ พลังงาน และปัจจัยการผลิตอื่นๆ ได้ถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีสะอาด ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตสะอาด ( Cleaner Production หรือ CP ) จะมุ่งเน้นในการปรับปรุงจากกระบวนการผลิตปกติ และมุ่งเน้นการจัดทำระบบการผลิตที่ดีขึ้น เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
“ เรื่องของเทคโนโลยีสะอาดนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก แต่ก็สามารถนำของเสีย หรือ ของเหลือ กลับมาใช้ใหม่ หรือ ใช้ซ้ำ ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ ไม่มีของเสียอะไรที่หลุดรอดจากกระบวนการผลิตถือก็ว่าเป็น “เทคโนโลยีสะอาด” อย่างแท้จริงแล้ว แต่ยอมรับว่า ในปัจจุบันเรื่องของเทคโนโลยีสะอาด และการจัดการสิ่งทอในอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมากนัก อย่างไรก็ตาม การจัดทำเทคโนโลยีสะอาด (CT) ควรพิจารณาทั้งข้อดี — ข้อเสียของการเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งใดๆ ให้ถ่องแท้ก่อนนำไปใช้จริง ที่สำคัญคือ อย่าทำเพียงแค่ตามกระแสสังคม แต่ควรพิจารณาทำเพื่อให้เกิดผลเป็นที่น่าพอใจที่สุด ไม่ใช่ผลกำไรมากที่สุด หรือ เพื่อให้ลดของเสียได้มากที่สุด แต่เพื่อให้มีเทคโนโลยีสะอาดที่เหมาะสมกับประเทศไทย เพื่อชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต ” ผศ.ดร. อภิชาติ กล่าว
ทางด้าน นายไพศาล ตาเส่ง ผู้จัดการโรงงาน Jaspal & Son Co.,Ltd. ผู้ผลิตสิ่งทอภายใต้แบรนด์ “Jaspal” และชุดเครื่องนอน “Santas” ฯลฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากประสบการณ์ยาวนานมากว่า 50 ปี และวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีสะอาดเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งยอมรับว่า หลังจากที่บริษัทได้นำเทคโนโลยีสะอาดเข้ามาใช้ แล้ว ช่วยทำ “กำไร”ให้กับบริษัทได้จริง ผลิตสินค้าได้คุณภาพ ลดระยะเวลาในการผลิต และสามารถลดต้นทุนลงได้ในอนาคต จากเดิมที่มีต้นทุนอยู่ประมาณ 5,000 บาท เหลือเพียง 500 บาท ถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน และนอกจากจะช่วยเน้นย้ำถึงเรื่องคุณภาพและชื่อเสียงความเป็นผู้นำในวงการของบริษัทฯ แต่เมื่อได้นำเทคโนโลยีสะอาดเข้ามาใช้ ยิ่งทำให้สินค้าของบริษัทเหนือกว่าคู่แข่งในทุกๆ ด้าน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการเป็น “ผู้นำ” อย่างต่อเนื่อง บริษัท จึงไม่อาจหยุดนิ่งที่จะพัฒนาได้ และเรื่องของเทคโนโลยีสะอาดก็ไม่เฉพาะเครื่องจักรเท่านั้น แต่ยังหมายความถึง เทคนิคการจัดการ ที่สำคัญ คือ เรื่องของจิตสำนึกและสามัญสำนึกของบุคลากร.--จบ--

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO