“มานพ มีจำรัส” ผู้หยั่งรากศิลปะร่วมสมัย ลงบนชุมชน 119 ปีของเจ็ดเสมียน และ ‘สวนศิลป์ บ้านดิน’

พฤหัส ๒๖ มิถุนายน ๒๐๐๘ ๑๕:๒๗
กรุงเทพฯ--26 มิ.ย.--เจเอสแอล
หลังจากที่ ครูนาย—มานพ มีจำรัส ศิลปินเจ้าของรางวัลศิลปาธรสาขาศิลปะการแสดง ประสบความสำเร็จจากความมุ่งมั่นพยายามอย่างเต็มที่แล้ว วันนี้เขาทำงานตอบแทนแผ่นดินเกิดของมารดา ด้วยการริเริ่มสร้าง“สวนศิลป์ บ้านดิน” ที่ ต.เจ็ดเสมียน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เปิดเป็นเวทีกว้างให้โอกาสเติมเต็มความฝันแก่เด็กๆ เหมือนในวัยหนึ่งที่เขาเคยโหยหา และอีกนัยหนึ่งเพื่อทดแทนที่เขาไม่ได้คว้าปริญญาบัตรให้พ่อแม่เชยชม หากแต่เขาได้ปริญญาชีวิตที่คุ้มค้าต่างกัน!!!
ครูนาย-มานพ มีจำรัส เล่าถึงครั้งที่มุ่งมั่นกับการเรียนเต้นรำ จนไม่ยอมเรียนต่อปริญญาตรี ซ้ำร้ายพ่อกับแม่ก็ไม่เคยรู้ข่าวคราวของเขาเลย “ตอนนั้นแม่ให้เงินมาเดือนละ 500 บาท เป็นค่าที่อยู่ที่กิน พอทำงานได้ก็เลิกเรียนไปเลย มาเต้นอย่างเดียว เพราะตอนนั้น คิดว่าถ้าเต้นไม่ได้ใน 3 เดือนจะเลิก แต่พอเวลาซ้อมเต้นก็จะตั้งใจมาก คิดเพียงว่าฉันต้องเก่งให้ได้ในวันพรุ่งนี้ จัดเป็นเซียนซ้อมของคณะเลย แล้วก็ตั้งใจว่า ถ้ายังไม่ได้ดีจะยังไม่กลับบ้าน เลยไม่ได้ติดต่อที่บ้านเลย เอาแต่เต้นระบำหางานอย่างเดียว แม่ได้แต่ดูข่าวว่ามีเด็กโดนฆ่าบ้างหรือเปล่า พี่ชายฝันเห็นเราโดนทำร้ายอะไรแบบนี้ จนปีหนึ่งผ่านไป กลับไปเคาะประตูบ้าน แม่เปิดประตูมาพอเห็นเราเท่านั้นก็น้ำตาไหล เหมือนแกฝันไปที่เห็นผม มันเป็นการทำร้ายแม่ของผมจริงๆ นี่คือสิ่งที่ผมเห็นแก่ตัว เรามองแค่ตัวเราเอง มองแต่สิ่งที่เราอยากทำ ไม่ได้นึกถึงคนรอบข้าง
หลังจากนั้น มาวันนี้เราได้เรียนรู้ชีวิตมามาก ได้ทำอะไรเต็มที่แล้ว ผมเองไม่ได้จบปริญญาให้พ่อกับแม่ แต่ได้ทำบางอย่าง คือ ที่ชุมชนตลาด 119 ปี เจ็ดเสมียน นี้ ก็เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาให้พ่อกับแม่เห็น และให้ท่านรู้สึกว่าผมดูแลตัวเองได้ และยังดูแลทุกๆคนได้ด้วย แล้วผมก็กลับไปสร้างบ้านให้พ่อแม่ แล้วก็ได้บวชให้พ่อกับแม่ ตอนที่ต้องกราบขออโหสิกรรม ผมได้กราบเท้าท่าน ได้รู้เลยว่าเวลาที่เราเอาหัวจดเท้าแม่ แล้วตัวเราติดแผ่นดินนี่ มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากๆ หลังจากนั้นคิดว่าการกราบเท้าพ่อแม่เป็นสิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตมากๆ ทุกวันนี้ ถ้าวันไหนท้อก็จะไปกราบเท้าพ่อแม่ เพราะเราเองโชคดีที่ยังมีท่านอยู่และเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดให้”
ทุกวันนี้ ครูนาย จึงมาเป็นครูของน้องๆ ในชุมชนเจ็ดเสมียนบ้านเกิดของแม่ “ครั้งแรกเริ่มจากเล็กๆ ผมแค่มีความคิดว่า อยากไปเต้นใต้ต้นโพธิ์ที่ตลาดอะไรทำนองนี้ แล้วผมก็รู้จักพวกเทศบาล รู้จักครูเด๋อ (น้องยอดชาย เมฆสุวรรณ) ผมก็ไปพูดกับแกว่าอยากแสดงตรงนี้ แกก็บอกว่า เอาเลยๆ คุณนายจะทำอะไรก็ได้เลย พอเราไปบอกครูเล็ก แกก็บอกว่าอย่างนี้ไม่ได้ เธอต้องทำต่อเนื่องมันถึงจะเกิด ก็กลายเป็นแกไปซื้อเก้าอี้มาอีก มาจัดโน่นจัดนี่ เทศบาลก็มีตลาดนัด กลายเป็นเรื่องเป็นราว เป็นการแสดงใหญ่ไปเลย ทั้งๆที่ตอนแรกก็คืออยู่ดีๆผมก็คิดของผมขึ้นมา กลายเป็นตอนนี้ส่วนใหญ่ก็จะกลับมาซ้อมละครที่ภัทราวดี เพื่อไปเล่นที่เจ็ดเสมียน มีทุกเสาร์ อาทิตย์ปลายเดือน ผมไปทำให้กับชุมชนเจ็ดเสมียน เจ็ดเสมียนเหมือนเป็นเมืองลับแล โดนทิ้งมานาน มันดูเงียบ แต่เขามีคาแรกเตอร์ของเขา คนแถวนั้นเขาค้าขาย สาวๆหนุ่มๆก็ทำงานโรงงาน เป็นเมืองเงียบๆ คนชุมชนเขามีพื้นฐานของศิลปะ พอผมทำงานตรงนี้ มันก็เลยสอดคล้องกัน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ผมทำงานร่วมกับเทศบาล เขามีโครงการอะไรก็จะรับเด็กมาให้ผมสอน เขามีเงินมาให้บ้าง เป็นความโชคดีของผม เหมือนเขาอยากได้สิ่งนี้อยู่แล้ว แต่เขาไม่รู้จะไปหาใคร
ผมไปผมให้เขาฟรีทุกอย่างเลย อยู่ดีๆมันก็อยากให้ ทุกคนถามว่า ผมเอาเงินไปลงแล้วผมได้อะไร ผมบอกว่า ผมเรียนจบแค่ ปวช. เพราะฉะนั้นผมเอาเงินมาลงตรงนี้มันเหมือนเป็นการ Register เรียน มหาลัยชีวิต ได้เรียนบริหารกิจการชุมชน ตอนนี้ก็เรียนการบัญชี ผมได้มหาลัยที่ใหญ่มาก ชุมชนสอนให้ผมได้รู้ว่าชุมชนคืออะไร ปัญหาคืออะไร เราสามารถเรียนรู้ได้เลย เราเสียเงินไปไม่ได้เสียเปล่า และเราได้อะไรเยอะแยะมากมาย มันก็เลยสนุก เสาร์ อาทิตย์ ปลายเดือน เราก็จะแบกเครื่องเสียงจากภัทราวดีมาแสดง ไปเปิดสอนมีคลาส ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ สอนเด็กทั่วๆไป สอนฟรีบ้าง มีเงินจ่ายก็จ่าย ไม่มีก็มาเรียนฟรี มีเด็กมาเรียน 30 กว่าคน และก็มีโฮมสเตย์ จัดแคมป์ทำงานศิลปะ ผู้ปกครองก็อยากจะเรียนกับผม แต่เขาไม่กล้า เขามองว่าผมเป็นนางระบำ ต้องมีกล้ามเนื้อที่สวยงาม ต้องรำสวย เพราะคนไทยคิดว่าศิลปะต้องเป็นการฟ้อน รำ บันเทิง แต่ศิลปะของผมมันคือเรื่องความคิดที่คุณจะเปิดตาได้อย่างไร ศิลปะพาให้คุณคิดอะไรให้สวยงาม ถ้าเราได้เรียนรู้ศิลปะ ศิลปะจะทำให้คุณ crop frame ได้ ศิลปะสอนให้คนรู้จักเลือก เหมือนรู้จักคนยังต้องรู้จักดูโหวเฮ้ง มันเป็นความตั้งใจที่ซื่อ เพราะตัวผมเองมาจากลูกชาวนา ไม่ได้คิดว่าทำไปเพราะอยากมีชื่อเสียง เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ร้องไห้เพราะเสียใจ แต่ปัจจุบันผมร้องไห้เพราะปลื้มใจ ทุกวันนี้ชีวิตมันมีพลังในสิ่งที่ทำ และบอกได้เลยว่าไม่ได้ต้องการอะไรจริงๆ จะทำเพียงเพื่อได้แสดงเท่านั้น”
แม้จุดเริ่มต้นความใฝ่ฝันของเขาอยากจะเป็นดาราดัง แต่ความจริงของชีวิตในวันนี้เขากลับยิ่งใหญ่เกินฝัน ติดตามชมพลังที่นำสู่ความสำเร็จ ของ ครูนาย-มานพ มีจำรัส ได้ใน “สุริวิภา” 4 กรกฎาคม นี้ เวลาสี่ทุ่ม ทางโมเดิร์นไนท์ทีวี

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ