กรุงเทพฯ--16 ก.ค.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน
- เยอรมัน...พันธมิตรตัวอย่างที่สำคัญในด้านการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
- การบรรจุหีบห่อ...หัวข้อหลักของการประชุมทางวิชาการ จีทีเอส08
- ความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างสถาบันการศึกษาของไทยและเยอรมัน
- ไวน์ชั้นยอดจากเยอรมัน
- คำว่า “Made in Germany“ บ่งบอกคุณภาพ ที่กำลังเป็นที่ต้องการด้านการออกแบบ
- ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน...สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมใหม่ของคนไทย
ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน มิชาเอล โกลส์ ( Mr. Michael Glos) กล่าวว่า “เยอรมันเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยในกลุ่มสมาชิกสหภาพยุโรป” คำกล่าว นี้ได้รับการยืนยันว่าถูกต้อง สังเกตได้จากสถิติติการค้าแบบทวิภาคีระหว่างเดือนมกราคม ถึงเมษายน 2551 ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 14 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสินค้าส่วนมากอยู่ในกลุ่มชิ้นส่วนที่ใช้ในเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมากไปกว่านั้น อัตราการลงทุนของผู้ประกอบการเยอรมันในประเทศไทยก็สูงถึง 142 ล้านยูโร ในปี 2550 ที่ผ่านมาซึ่งเหนือความคาดหมายของทุกฝ่าย
จากสถิติดังกล่าว เป็นที่แน่นอนว่าเยอรมันจะเข้ามามีบทบาทในโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทยมากขึ้น โดยมหกรรมการประชุมทางวิชาการและการแสดงเทคโนโลยีของเยอรมัน ครั้งที่ 9 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน.และจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 — 11 พฤศจิกายน 2008 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิล์ด กรุงเทพฯ โดยจะเป็นจุดรวมคำตอบการนำเสนอนวัตกรรมจากเยอรมันในด้านวิศวกรรมหลากหลายสาขา เช่น เครื่องกล ยานยนต์ ก่อสร้าง การบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์ และ ด้านพลังงาน
ทางด้าน นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “การสนับสนุนของ สสปน. ในการจัดงานครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ สสปน.ให้การสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศต่างๆ หรือ Country show ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการจัดแสดงสินค้านานาชาติที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศแล้ว ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ทางด้านวิชาการ เทคโนโลยีและการท่องเที่ยว ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนและเศรษฐกิจของประเทศไทยและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ที่มีมายาวนานกว่า 150 ปี ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วย
“สสปน.จะให้ความร่วมมือ ให้การสนับสนุน และอำนวยความสะดวกในการจัดงานในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งการให้ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการ “กรุงเทพฯ: มหานครแห่งการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของอาเซียน” โดยมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนให้กรุงเทพมหานครกลายเป็นศูนย์กลางของการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของอาเซียนภายในปี 2553 ซึ่งผมมั่นใจว่ากรุงเทพมหานครเป็นจุดยุทธศาสตร์ ในการเป็น “ประตูสู่อาเซียน” เพราะกรุงเทพฯ มีศักยภาพ และความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ ทั้งในด้านสถานที่การจัดงานแสดงสินค้า ที่มีมากกว่า 5 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 250,000 ตารางเมตร รวมถึงความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภค โทรคมนาคม ระบบคมนาคมขนส่ง โดยปัจจุบันประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 1 ทางด้านการแสดงสินค้านานาชาติในอาเซียนในแง่ของรายได้รวม และพื้นที่ขายรวม”
“การจัดงานในครั้งนี้ สสปน.คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานชาวต่างชาติกว่า 1,000 คน ซึ่งจะสามารถ นำรายได้เข้าประเทศไทยได้กว่า 150 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมกระแสเงินหมุนเวียนภายในงาน ซึ่งการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ ถือเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมไมซ์ที่สร้างรายได้ให้ กับประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆ โดย สสปน.คาดว่าในปี 2551 นี้ จะมีผู้เดินทางกลุ่มไมซ์ เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เป็นจำนวน 947,600 คน ซึ่งสามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศประมาณ 65,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2550” นายณัฐวุฒิ กล่าวเสริม
ในด้านพลังงาน แม้ว่าวันนี้โรงงานพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์จะยังเป็นประเด็นรอง แต่มีแนวโน้ม ว่ากำลังทวีความสำคัญอย่างชัดเจน ดังนั้นเพื่อตอบโจทย์นี้กระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งสหพันธ์ของเยอรมันจึงจะจัดแสดง “การใช้น้ำและพลังงานอย่างยั่งยืนและสมเหตุสมผล” ไว้ให้แก่ผู้ร่วมงานได้ชม และในฐานะผู้นำทางเทคโนโลยี เยอรมันจะนำเสนอวิสัยทัศน์และโอกาสการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จากพื้นที่ขนาดใหญ่ รวมทั้งเสนอทางออกสำหรับการประหยัดพลังงาน และเทคโนโลยีล่าสุด เพื่อการบำบัดน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล ในการนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้นำทางอุตสาหกรรมของเยอรมัน เช่น บริษัท ซีเมนส์ (Siemens), บริษัท ทึซเซ่นครุ้ป (ThyssenKrupp) และ บริษัท บีเอ เอส เอฟ (BASF) ก็จะมีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ในเรื่องการใช้พลังงานที่ยั่งยืน
เนื่องจากประวัติเรื่องราวความสำเร็จของบริษัทเยอรมันในตลาดไทยในหลายกรณีเกิดจากการแลกเปลี่ยนทางความรู้และเทคโนโลยี มหกรรมการประชุมครั้งนี้จึงเป็นเวทีสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนดังกล่าว โดยในปีนี้ประเด็นร้อนที่น่าจับตามองเป็นเรื่องการบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์ ในด้านนี้ประเทศไทยก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นสายพานลำเลียงบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ ที่อีสเทิร์น ซีบอร์ด หรือขวดน้ำดื่มในซุปเปอร์มาร์เกต บริษัทโครเนส (Krones) บริษัทซีกแวร์ค (Siegwerk), บริษัทบอยเมอร์ มาชีนเนนฟาบริค (Beumer Maschninenfabrik) หรือบริษัทบอช (Bosch) ก็จะมานำเสนอเทคโนโลยีล่าสุดที่การประชุมนี้ และเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานที่สนใจสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเทคโนโลยีจะล้ำหน้าไปมากเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญของการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรมก็คือวิศวกรที่มีคุณภาพ งานประชุมจีทีเอส08 นี้ จึงจะเน้นประเด็นนำเสนอเรื่องการศึกษาต่อที่เยอรมันในงานนี้ดังเช่น ในงานจีทีเอสที่ผ่านมา ตัวอย่างที่ดีที่สุดของความร่วมมือระหว่างเยอรมันและไทยในด้านนี้เห็นจะได้แก่การก่อตั้งบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธรไทย-เยอรมัน (TGGS) ซึ่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี อาเคิ่นร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ในงานจีทีเอสที่จะถึงนี้สถาบันดังกล่าวจะมาแนะนำหลักสูตรการศึกษานานาชาติทั้งระดับปริญญาโทและเอกในด้านวิศวกรรมศาสตร์มาตรฐานเยอรมัน
นอกจากนี้ผู้ร่วมงานยังสามารถพบกับตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ของเยอรมันที่ซุ้มศูนย์บริการข้อมูลการศึกษา “เด อา อา เด” (Deutschen Akademischen Ausstauschdienstes) ซึ่งพร้อมที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาต่างๆ แก่นักเรียนไทยที่งานที่ จะจัดอีกด้วย
งานแสดงสินค้ามุมไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวเยอรมัน 2008
เป็นอีกงานหนึ่งที่จัดควบคู่กับงานจีทีเอส08 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ และงานออกแบบสินค้าหรูหราจากเยอรมันที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย ตัวอย่างเช่น ด้านอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ที่เข้าชมนิทรรศการนี้จะมีโอกาสได้ชิมเบียร์เยอรมัน ไส้กรอกเยอรมัน ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนมและผลิตภัณฑ์ขนมอบจากเยอรมันจำนวนมาก อีกทั้งยังมีไวน์เยอรมันซึ่งเป็นจุดเด่นของงานนี้ให้เลือกสรรหลายชนิดจากผู้ผลิตไวน์กว่า 30 ยี่ห้อ ซึ่งขณะ นี้ไวน์เยอรมันกำลังเป็นที่โปรดปรานของคอไวน์ชาวไทยและดูจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มุมที่น่าจับตามองอีกมุมนึ่งในงานคือ บูธโชว์ยานยนต์ยี่ห้อ เอาดี้ (Audi) และเบนซ์ (Mercedes) ที่จะมาอวดโฉมรถยนต์นั่งรุ่นหรูหราล่าสุดให้ได้ชมกัน
สำหรับด้านการท่องเที่ยวในเยอรมัน ปัจจุบันนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปเยอรมันเพิ่มจำนวนมากขึ้นกลายเป็นอันดับที่สามในเอเชียรองจากนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและจีน (สถิติการค้างคืนประมาณ 750,000 คืนต่อปี) เมืองที่อยู่ในความนิยมของนักท่องเที่ยวอันได้แก่ นครมิวนิค (M?nchen) มหานครเบอร์ลิน (Berlin) เมืองดุสเซลดอร์ฟ (D?sseldorf) เมืองชตุ๊ทการ์ท (Stuttgart) และ แหล่งท่องเที่ยวทะเลสาบโบเดนเซ (Bodensee) บริเวณเทือกเขาแอล์ป โดยเมืองเหล่านั้นจะร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของเยอรมันมานำเสนอโปรแกรมการท่องเที่ยวต่างๆ ในงานนี้
นอกจากนี้สายการบิน LTU และ Lufthansa จะนำเสนอแพคเกจท่องเที่ยวพิเศษหลายรูปแบบเตรียมไว้สำหรับผู้ชอบเที่ยวชาวไทยที่จะไปเยอรมันอีกด้วย
กิจกรรมพิเศษในระหว่างงาน จีทีเอส08
8 พฤศจิกายน 2551: งานเลี้ยงต้อนรับที่สถานทูตเยอรมัน ประจำประเทศไทย
10 พฤศจิกายน 2551: งานกาล่า “150 ปี ความสัมพันธ์เศรษฐกิจไทย-เยอรมัน”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน ประเทศไทย
สุเมธ กาญจนพันธุ์
โทร 02 627 3501 ต่อ 218
โทรสาร 02 627 3510
อีเมล์ [email protected]
หอการค้าเยอรมัน-ไทย
ศิริกุล สาครรัตนกุล
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์
โทร 02 670 0600 ต่อ 2003
โทรสาร 02 6700603
อีเมล์ [email protected]
- ธ.ค. ๒๕๖๗ พะเยาวิจัย ครั้งที่ 12 "วิจัยและนวัตกรรมเพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน"
- ธ.ค. ๒๕๖๗ สุดปัง! เปิด 3 หลักสูตร ดับเบิ้ลดีกรีลาดกระบัง เรียนครั้งเดียวคว้า 2 ปริญญา
- ธ.ค. ๒๕๖๗ “เอไอเอส เอ็มเปย์” จับมือ “มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ” เปิดมิติใหม่ชีวิตดิจิทัลให้รั้วมหาวิทยาลัย นำ mPAY Wallet มอบความสะดวก ในการใช้จ่ายให้กับนักศึกษา ตอบสนองนโยบาย Cashless Society