กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--มายด์แชร์
ผู้นำธุรกิจเอเยนซี่ด้านการให้บริการสื่อโฆษณาและการลงทุนด้านการสื่อสารให้แก่บริษัทชั้นนำของประเทศไทยเผย “มายด์แชร์ 3D” ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดผลวิจัยเชิงปริมาณให้ข้อมูล 3 มิติของผู้บริโภคในประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคยังยึดติดกับ แบรนด์และโฆษณายังมีผลต่อการเลือกสินค้า
นางสาวปัทมวรรณ สถาพร ผู้อำนวยการแผนกวิจัยผู้บริโภคและธุรกิจ บริษัท มายด์แชร์ กล่าวว่า “3D ย่อมาจากงานวิจัยข้อมูลใน 3 มิติมุมมอง (Three Dimensional Research) ซึ่งศึกษาและให้ผลวิจัยผู้บริโภค 3 ด้านด้วยกัน คือ ความสัมพันธ์ของผู้บริโภคกับตราสินค้า (ฺBrand Relationship) ทัศนคติและพฤติกรรมทางสังคม ของกลุ่มผู้บริโภค (Social Behavior) พฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภค (Media Consumption) ข้อมูลทั้ง 3 ด้านของ 3D นี้ได้มาจากการถามคำถามทั้ง 3 ด้านจากตัวอย่างคนเดียวกัน ไม่ได้มาจากการใช้เทคนิคในการรวมข้อมูลเข้าด้วยกัน จากหลายๆตัวอย่าง ดังนั้นข้อมูลของเราจะให้ข้อมูลที่สามารถชี้ให้เห็นชัดเจนเลยว่าผู้บริโภคคนนั้นหรือกลุ่มนั้นมีพฤติกรรมและมีทัศนคติอย่างไร”
จากผลการศึกษาข้อมูลผู้บริโภคที่ได้ข้อมูลจาก “มายด์แชร์ 3D” ปี พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดผลวิจัยเชิงปริมาณให้ข้อมูล 3 มิติของผู้บริโภคในประเทศไทยและสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากรของประเทศไทยกว่า 2,200 คน อายุระหว่าง 14 — 65 ปี ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคไทยเลือกที่จะใช้จ่ายกับสินค้าที่รักษาสิ่งแวดล้อม (57%) มากกว่าสินค้าที่ใช้ดารานักแสดงในงานโฆษณา (36%)
“ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับตราสินค้า มีความภักดีต่อตราสินค้าพอสมควรและค่อนข้างจะยอมรับตราสินค้าจากงานโฆษณา โดย กว่า60%ของผู้บริโภคกล่าวว่างานโฆษณาช่วยให้ข้อมูลของสินค้าที่ตนต้องการรู้จัก” ปัทมวรรณ กล่าว
มิติแรกของ 3D วัดผลในเชิงความสัมพันธ์ของผู้บริโภคกับตราสินค้า การจำแนกหมวดสินค้าจะครอบคลุมจาก สินค้าอุปโภคบริโภคไปถึงบริการทางการเงิน ความภักดีในตราสินค้าก็จะแตกต่างกันสำหรับกลุ่มที่ให้ความสำคัญในการเลือกตราผลิตภัณฑ์ และกลุ่มที่ไม่ค่อยให้ความใส่ใจในการเลือกผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วผลจากงานวิจัย 3D แสดงให้เห็นว่า 67% ของผู้บริโภคโดยมากมีแนวโน้มที่จะซื้อตราสินค้าเดิมซ้ำๆกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคในต่างจังหวัด เปรียบเทียบกับคนกรุงเทพที่มีความหลากหลายกว่าในการเลือกตราสินค้า
มิติที่สองของ 3D ให้ข้อมูลเชิงลึกในการทำความเข้าใจถึงทัศนคติของผู้บริโภค ด้วยฐานข้อมูลความคิดเห็นเชิงจิตวิทยากว่า 200 ตัวอย่าง เครื่องมือวิจัย 3D ได้จำแนกกลุ่มทัศนคติและพฤติกกรรมออกเป็น 8 กลุ่มที่แตกต่างกัน
กลุ่มผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมและมีทัศนคติว่าเป็นกลุ่มผู้เสียเปรียบและไม่มีความกระตือรือร้น (Disadvantages & Indifferent) ในสังคม เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดมีถึง 18% ของจำนวนประชากร ในขณะที่กลุ่มพฤติกรรมอื่นๆ โดยเฉลี่ยแล้วมีปริมาณพอๆกัน คือประมาณ 12% ของจำนวนประชากร
มิติที่สามของ 3D คือการศึกษาพฤติกรรมการรับสื่อของกลุ่มตัวอย่าง นอกเหนือจากสื่อที่ได้รับความนิยมแล้ว 3D ยังวิเคราะห์จุดเชื่อมโยงในการสื่อสารระหว่างที่ผู้บริโภครับสื่อ ตั่งแต่สื่อหลักไปจนถึงการพูดกันปากต่อปาก การแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง แผ่นพับใบปลิว ข่าวประชาสัมพันธ์ พนักงานขายและช่องการสื่อสารทางใหม่ๆ เช่น SMS ผลวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า กว่าครึ่งของผู้บริโภคตัวอย่างเห็นโฆษณานอกบ้านเป็นแหล่งข้อมูล อันดับต้นๆของโฆษณานอกบ้านที่ได้รับการมองว่าเป็นสื่อที่มีความสร้างสรรค์คือ 1) ไตรวิชชั่น (Trivision) 2) เลเซอร์บนตึกและอาคารสำนักงาน 3) จอ LCD และ วีดีโอวอลล์ที่เป็นสื่อนอกบ้าน
“การศึกษาพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลซึ่งลงลึกไปถึงคุณค่าของตราสินค้าพฤติกรรมทางสังคมและการรับสื่อนั้นมีประโยชน์มากต่อนักการตลาด ในแง่ของการวางกลยุทธ์ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายยุทธศาสตร์ ทำให้นักการตลาดจะสามารถชี้ด้ว่าทางไหนจะเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะพูดกับลูกค้าคนสำคัญ ข้อมูลเหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้นักการตลาดที่ต้องการรักษาฐานลูกค้าเดิมและมัดใจฐานลูกค้าใหม่ในการวิเคราะห์และวางแผนการใช้สื่อที่แตกต่างเพื่อกระชับความสัมพันธ์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละระดับชั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
และเมื่อรวมทั้ง 3 มิติเข้าด้วยกัน 3D จึงนำเราเข้าสู่ยุคใหม่ของการวางแผนการสื่อสาร” ปัทมวรรณกล่าว
เกี่ยวกับ 3D
“มายด์แชร์ 3D” ปี พ.ศ. 2551 เป็นเครื่องมือวัดผลวิจัยเชิงปริมาณให้ข้อมูล 3 มิติของผู้บริโภคในประเทศไทยโดยทำการซุ่มสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากรของประเทศไทยกว่า 2,200 คน อายุระหว่าง 14 — 65 ปี ทำการเก็บตัวอย่างข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ตัวต่อตัว และทำการสำรวจผ่านการให้ผู้บริโภคตอบแบบสอบถาม โดยมายด์แชร์ได้ลงทุนในงานวิจัยนี้ ผ่านบริษัท ริเสริช์ อินเตอร์เนชั้นแนล จำกัด โดยใช้ซอฟต์แวร์ โปรแกรมของ อินโฟรทูล (InfoTools) จากประเทศออสเตรเลีย
3D เป็นโครงการวิจัยที่เป็นโครงการริเริ่มระดับโลก ซึ่งขณะนี้ได้ใช้อยู่ใน 35 ประเทศทั่วโลก โดยเป็นประเทศในเอเชีย 13 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สิงค์โปร มาเลเซีย ฮ่องกง ไตหวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนิเซีย เวียดนาม ออสเตรเลีย อินเดีย ปากีสถานและประเทศไทย
มายด์แชร์ และ กลุ่มเอเยนซี่ภายใต้กรุ๊ปเอ็ม ได้ลงทุนกับโครงการวิจัยนี้มากกว่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 231 ล้านบาทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
เกี่ยวกับมายด์แชร์
มายด์แชร์เป็นเอเยนซี่ผู้นำธุรกิจการลงทุนด้านสื่อสารการตลาดในประเทศไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเครือ WPP Network มีรายได้กว่า 8,000 ล้านบาท และมีการเจริญเติบโตถึง 15% ในปี 2550 บริษัทฯได้รับการจัดอันอับให้เป็นที่ 1 โดย RECMA ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี ติดต่อกัน และได้รับการยกย่องเป็น Media Magazine Agency ประจำปีเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันซึ่งไม่มีบริษัทใดเคยได้รับ
สินค้าและบริการ: การให้บริการวางแผนและซื้อสื่อ บริการข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างครบวงจร, ให้บริการครบวงจรในการจัดกิจกรรมทางการตลาดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด และการสปอนเซอร์กิจกรรมการตลาด ร่วมถึงการสร้างเนื้อหาที่เป็นแบรนด์โดยหน่วยงาน ESP, ให้บริการครบวงจรด้านการทำการตลาดดิจิตอลและอินเตอร์เน็ตโดยหน่วยงาน Interaction, ให้บริการคำปรึกษาด้านการลงทุนในสื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคโดยหน่วยงาน MindShare Insights & ATG
บุคลากร : MindShare มีพนักงานรวม 150 คน และมีหน่วยงานสนับสนุนอีกจำนวน 65 คนจาก Group M และมี Turnover ต่ำกว่า 6% ต่อปี
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ฐิติภรณ์ อันชูฤทธิ์
โทร. 081-805-7400