บลจ.แอสเซท พลัส ยืนยันไม่ได้ลงทุนในเลห์แมน มองตลาดยังผันผวนจากความวิตกกังวล แนะระยะสั้นถือเงินสด-ตราสารความเสี่ยงต่ำ ลงทุนยาวในหุ้นปัจจัยพื้นฐานที่มี Active Return

จันทร์ ๒๒ กันยายน ๒๐๐๘ ๑๗:๔๑
กรุงเทพฯ--22 ก.ย.--แอสเซท พลัส
บลจ.แอสเซท พลัส เผยกองทุนภายใต้การจัดการทั้งหมดของบริษัทไม่ได้ลงทุนในเลห์แมน บราเธอร์ และสถาบันการเงินที่มีปัญหา คาดการณ์ภาวะตลาดระยะสั้นยังผันผวนจากความวิตกกังวลผลกระทบจากปัญหาสถาบันการเงิน แนะผู้ลงทุนถือครองเงินสดหรือตราสารความเสี่ยงต่ำ เพื่อรอความชัดเจนและจังหวะเหมาะช่วงตลาดปรับฐาน ลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานที่ให้ผลตอบแทนดี
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในสภาวะการลงทุนปัจจุบันมีความผันผวนจากปัญหาทางด้านการเงินของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะข่าวการประกาศล้มละลายและพิทักษ์ทรัพย์ของเลห์แมน บราเธอร์ การเข้าถือหุ้นในเมอร์ริล ลินซ์ ของแบงก์ ออฟ อเมริกา และการขอกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องของ AIG ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความกังวลในเรื่องของสถานการณ์การลงทุนที่มีผลกระทบต่อสถานะการลงทุนของกองทุนรวมทั้งอุตสาหกรรม โดยมีการสอบถามเข้ามายังสมาคมอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ทางการสหรัฐได้ประกาศมาตรการฉุกเฉินในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินด้วยงบประมาณ 700,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อแก้ไขหนี้เสียภาคอสังหาริมทรัพย์และปัญหาสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าสามารถฟื้นความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาได้ โดยตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับมาตรการการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส กองทุนภายใต้การจัดการทั้งหมดของบริษัทฯ ไม่ได้ลงทุนในตราสารหรือหลักทรัพย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ด้านการเงินดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบ เพื่อคลายความกังวลในเรื่องดังกล่าวแล้ว
“ในด้านพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ จะค่อนข้างเข้มงวดในการเลือกตราสารหรือบริษัทที่จะเข้าลงทุน จากการมีคณะกรรมการการลงทุนเป็นผู้พิจารณาตราสารแต่ละตัวก่อนการอนุมัติให้ลงทุนได้ ซึ่งเป็นนโยบายการบริหารกองทุนแบบอนุรักษ์นิยมตั้งแต่เริ่มจัดตั้งบริษัท โดยมีการพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทันกับแนวโน้มการลงทุนแต่ละขณะ” นางลดาวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนของบริษัทปัจจุบัน ในด้านการลงทุนของตราสารหนี้ได้ปรับการลงทุนโดยให้น้ำหนักในตราสารความเสี่ยงต่ำมากขึ้น และลดการลงทุนในตราสารที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน เพื่อรอดูความชัดเจน รวมถึงทยอยเข้าลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยเน้นในหุ้นที่มีการปรับลดลงของราคาสวนทางกับปัจจัยพื้นฐานที่มี Active Return จากการอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูง
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนช่วงนี้ นางลดาวรรณ ให้ความเห็นว่า หลังจากที่ตลาดปรับลดลงเมื่อสัปดาห์ก่อน และปรับตัวเพิ่มขึ้นจากตอบรับต่อการเข้าร่วมมือการแก้ปัญหาภาคการเงินสหรัฐจากธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นดังกล่าวอาจเป็นการตอบรับในระยะสั้นก่อน โดยคาดว่าตลาดจะยังคงติดตามความคืบหน้าของแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และการฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน
สำหรับตลาดหุ้นไทย นางลดาวรรณ มีความเห็นว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเพียงพอในการต้านทานกับความผันผวนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ เช่น การมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต่ำมาก สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีการลงทุนเกินกว่าความสามารถของบริษัท ซึ่งถือเป็นสัญญานที่ดีว่าบริษัทจดทะเบียนไทยมีการปรับตัวในภาคการบริหารการดำเนินงานดีกว่าในอดีตที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน ซึ่งคาดว่าหากปัจจัยลบต่าง ๆ คลี่คลายลงบริษัทเหล่านี้จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“ในระยะสั้นผู้ลงทุนควรหลีกเลี่ยงการเก็งกำไร โดยเน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ซึ่งมองว่าตลาดหุ้นไทยในระดับ P/E ปัจจุบันที่ 8 เท่าอยู่ในระดับที่สามารถรับปัจจัยลบต่าง ๆ ทั้งความวิตกกังวลของสถาบันการเงินต่างประเทศ และปัจจัยทางการเมืองในขณะนี้ได้ แต่สำหรับผู้ลงทุนที่มีกังวลในความผันผวนระยะสั้น ๆ ในช่วงนี้ ควรเน้นการถือครองเงินสดหรือลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล อายุสั้น ๆ เพื่อรอดูทิศทางที่ชัดเจนอีกครั้ง” นางลดาวรรณ กล่าว
ในด้านแผนการเสนอขายกองทุนเพื่อรองรับสถานการณ์ในช่วงนี้ บริษัทฯ จะเสนอขายกองทุนพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุประมาณ 6 เดือน ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสพันธบัตรรัฐบาล 1 (Asset Plus Active Government Bond Fund 1 : ASP-ACGOV1) ซึ่งจะเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 24-30 กันยายน 2551 และรอบการลงทุนใหม่ของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมี่ยม 6M3 (Asset Plus Premium 6M3 Fund : ASP-P6M3) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยในรอบการลงทุนใหม่ วันที่ 26 กันยายน 2551 จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลีใต้อายุประมาณ 6 เดือนและป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
ทั้งนี้ คาดว่าจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยที่คาดว่าจะลงทุนหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.30% จะสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 3.50%* สำหรับกองทุน ASP-ACGOV1 และ 4.00%* เป็นอย่างน้อย สำหรับกองทุน ASP-P6M3
*ที่มา : สมาคมตลาดตราสารหนืไทยหรือผู้ขายตราสาร ณ 22 กันยายน 51 ทั้งนี้ หากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ระบุไว้
ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ :
ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
นิตยา เลิศแสงเพชร โทร. 02-672-1000 ต่อ 3314 อีเมล์: [email protected]
มุกพิม จุลพงศธร โทร. 02-672-1000 ต่อ 3308 อีเมล์: [email protected]

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO