กรุงเทพฯ--6 ต.ค.--ออนไลน์ แอสเซ็ท
"พีรเจต สุวรรณนภาศรี" เป็นปลื้มหลัง UKEM ใช้พาร์ใหม่ 0.25 บาท/หุ้น มีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายหุ้นคึกคัก เชื่อเป็นเพราะสภาพคล่องในกระดานเพิ่มขึ้น หนุนการซื้อขายคล่องตัว เหตุหลังแตกพาร์จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 660 ล้านหุ้น ประกอบกับบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ธุรกิจมีทิศทางเติบโตชัดเจน เห็นได้จากครึ่งปีแรกโชว์กำไรเพิ่มขึ้นถึง 129.89 % และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดสิ้นปีนี้หนุนรายได้ทะลุ 2,800 ลบ.ได้สำเร็จ จากปีก่อนที่ทำได้ 2,140 ลบ. จึงช่วยเพิ่มแรงดึงดูดใจนักลงทุนอีกทาง
นายพีรเจต สุวรรณนภาศรี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน) หรือ UKEM เปิดเผยว่า หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อนุมัติให้หลักทรัพย์ UKEM มีการซื้อขายในระบบซื้อขายหลักทรัพย์ตามมูลค่าที่ตราไว้(พาร์)ใหม่ 0.25 บาท/หุ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 พบว่าการซื้อขายหุ้นในกระดานเป็นไปอย่างคึกคัก มูลค่าการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เป็นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนหุ้นในกระดานที่เพิ่มขึ้นหลังการแตกพาร์ ซึ่งรู้สึกพอใจต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 660 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.25 บาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 165 ล้านหุ้น ที่มูลค่าหุ้นละ 1.00 บาท
"จะเห็นได้ว่าหลังแตกพาร์เป็น 25 สตางค์/หุ้น ทำให้จำนวนหุ้นหมุนเวียนในกระดานเพิ่มมากขึ้นเพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุน ทำให้การซื้อขายในช่วง 2-3 วันทำการที่ซื้อขายด้วยพาร์ใหม่ มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 30-40 ลบ. จากเดิมที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพียงวันละประมาณ 1 ลบ. เท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาจำนวนหุ้นหมุนเวียนในกระดานของ UKEM มีจำนวนไม่มากนัก จึงทำให้การซื้อขายหุ้นไม่คล่องตัวเท่าที่ควร รู้สึกพอใจกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นของ บริษัทฯ ได้รับการตอบรับอย่างคึกคักในครั้งนี้ นอกเหนือจากจำนวนหุ้นหมุนเวียนในกระดานที่เพิ่มขึ้นแล้ว ก็เป็นเพราะ UKEM ถือว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ โดยมีผลประกอบการที่โดดเด่นและธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง"
นายพีรเจต กล่าวต่อถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2551 ที่ผ่านมาว่ากำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยในไตรมาสที่ 2/51มีกำไรสุทธิ 18.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 71% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/50ส่วนงวด 6เดือนแรกของปีนี้มีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน มีกำไรสุทธิ 31.89 ลบ. เพิ่มขึ้น 129.89 % จากปีที่ผ่านมา ซึ่งผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจนมาจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากขึ้น บริหารจัดการต้นทุนและการส่งมอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลประกอบการของบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศจะไม่เอื้ออำนวยนัก
“ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังเติบโตไปในทิศทางที่ดี จากยอดขายที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการมุ่งขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยคาดว่าในปี 2551 จะสร้างกระตุ้นรายได้ให้อยู่ที่ระดับ 2,800 ล้านบาท ได้สำเร็จ จากปีก่อนที่ทำได้ 2,140 ลบ.”นายพีรเจตกล่าว
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : จุฬารัตน์ เจริญภักดี (ฟ้า) 02-5549395 , 089-4888337