กรุงเทพฯ--10 ต.ค.--ตลท.
ในวันนี้ (10 ต.ค.2551) ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เชิญผู้แทนและสมาชิกของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ทั้งไทยและต่างประเทศ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน และสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ร่วมประเมินสถานการณ์ตลาดทุนไทย หลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ โดยได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารกว่า 40 ราย ในวงการตลาดทุนร่วมระดมความเห็น
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมด้วย นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. และผู้บริหาร ตลท.ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งไทยและต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน รวมทั้งนักวิเคราะห์ กว่า 40 ราย โดยนายปกรณ์ได้เปิดเผยว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ร้อยละ 41.73 ตั้งแต่ต้นปี มาอยู่ที่ระดับ 499.99 (ณ วันที่ 9 ต.ค. 2551) ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดลดลงถึงร้อยละ 41 มาอยู่ที่ระดับ 4 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นไปตามทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังภูมิภาคอื่น ๆ รวมทั้งเอเชีย โดยดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่สำคัญ มีการปรับตัวลดลงประมาณร้อยละ 30 — 60 ตั้งแต่ต้นปี
นายปกรณ์กล่าวว่า “นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองในประเทศด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องปิดการซื้อขาย โดยในช่วงที่ผ่านมา พบว่าผู้ที่มีเงินออมได้มีการเข้าเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีเป็นระยะ ๆ เนื่องจากเห็นว่ามีหุ้นของบริษัทพื้นฐานดีหลายตัว ที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงถึงกว่าร้อยละ 10 ซึ่งเป็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี”
ด้านผู้บริหารจากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งไทยและต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน รวมทั้งนักวิเคราะห์ที่ได้มาประชุมร่วมกันในวันนี้ ได้ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นว่ากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในขณะนี้มีความเหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรรักษาแนวทางการดำเนินงานและวินัยตามมาตรฐานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า มาตรฐานการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถรองรับเหตุการณ์ในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี
สำหรับผลกระทบที่มีต่อตลาดทุนในระยะที่ผ่านมา ถือว่าส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ และอาจทำให้ระดับราคาหุ้นมีความเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างผันผวน เนื่องจากการตอบสนองต่อข่าวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่มีเข้ามาเป็นระยะ ๆ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน พิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยต้องติดตามข่าวสารต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จะได้นำข้อมูลจากสถานการณ์ปัจจุบันไปประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่าง ๆ ยังมีฐานะทางการเงินที่ดี ในขณะที่ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ของทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทสมาชิก รวมถึงระบบชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ และ Clearing fund ก็มีความพร้อมรองรับความผันผวนของการซื้อขายหลักทรัพย์ได้
สำหรับแนวทางการซื้อขายหุ้นโดยการทำ Short sell ในระยะที่ผ่านมา เห็นว่าไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุน เนื่องจากมีปริมาณเฉลี่ยร้อยละ 0.6 — 0.7 ของมูลค่าการซื้อขายต่อเดือน ในขณะที่กฏเกณฑ์การทำ short sell ของตลาดหุ้นไทย ก็มีความแตกต่างจากตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยกำหนดให้ทำได้เฉพาะหุ้นใน SET50 ซึ่งเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่อง ณ ราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาที่ตกลงซื้อขายครั้งสุดท้าย จึงไม่มีส่วนทำให้ราคาหุ้นปรับลดลง นอกจากนี้ ยังต้องมีการยืมหุ้นเพื่อการส่งมอบด้วย โดยปัจจุบันธุรกรรมการให้ยืมหุ้นเพื่อการทำ short sell มีจำนวนน้อย เนื่องจากมีผู้ที่ทำธุรกิจให้ยืมหลักทรัพย์เพียงไม่กี่ราย ที่ประชุมจึงเห็นว่า ยังไม่จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ Short sell
สำหรับยอดรวมการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ทั้งระบบมีประมาณ 27,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ปกติ หากต้องมีการ Force sell ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุน
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิจารณาปรับแนวทางการซื้อหุ้นคืน เพื่อเอื้ออำนวยให้บริษัทจดทะเบียนมีการซื้อหุ้นคืนได้สะดวกขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทแจ้งความจำนงในการซื้อหุ้นคืนแล้วกว่า 14 บริษัท และยังมีบริษัทที่สนใจอีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เสนอให้กระทรวงการคลังเพื่อเสนอมาตรการด้านภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุน เช่น การลดหย่อนภาษีเงินปันผล และการยกเว้นภาษีจากกำไรจากการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ รวมทั้ง เสนอให้กระทรวงการคลังทบทวนเรื่องการตั้งกองทุนรวมเพื่อการศึกษา (Education Mutual Fund) เพื่อส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน และเพื่อประโยชน์ในการศึกษาของประชาชนทุกระดับ
“เชื่อว่าในช่วงปลายปี จะมีเม็ดเงินลงทุนจากการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF เข้ามาในตลาดทุนอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มีเม็ดเงินเข้ามามากกว่า 10,000 ล้านบาท” นายปกรณ์กล่าว
สำหรับการร่วมลงทุนใน Matching Fund ซึ่งจะมีมูลค่ารวม 8,250 ล้านบาทนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมที่จะพิจารณาขยายวงเงินลงทุนเพื่อร่วมลงทุนกับผู้ที่สนใจจะลงทุนเพิ่มเติมในลักษณะ Opportunity Fund โดยจะทำงานร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีความเห็นร่วมกันด้วยว่า กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในขณะนี้มีความเหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐานสากลอยู่แล้ว และเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรรักษาแนวทางการดำเนินงานและวินัยตามมาตรฐานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า มาตรฐานการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถรองรับเหตุการณ์ในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งปัจจัยการเมืองในประเทศ และมีการประเมินสถานการณ์ร่วมกับผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้ง หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เป็นระยะ ๆ และพร้อมกำหนดมาตรการเพิ่มเติม หากผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ลงทุนในวงกว้าง” นายปกรณ์กล่าวสรุป
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 — 2036 / ศรินทร์ลักษณ์ จิตกะวงศ์ โทร. 0-2229 — 2037/ วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229-2797