โดยที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับการยอมรับและตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า เนื่องจากมีทีมงานที่มีศักยภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่สามารถตอบสนองความต้องการในรูปแบบต่างๆให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดีแล้ว แต่บริษัทฯมีนโยบายที่จะพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทฯให้ความสำคัญในการพัฒนาองค์กรและบุคลากรของบริษัทเพื่อให้มีศักยภาพและเกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน บริษัทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนเพิ่มในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีหลากหลายและเพิ่มขึ้นด้วย
นายปรเมศวร์ กล่าวว่า บริษัทขอขอบคุณบริษัทร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด ซึ่งบริหารงานโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุนข้าวกล้า จำกัด ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อให้เกิดการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ และบริษัทมีความยินดี และเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่บริษัทร่วมทุน เค -เอสเอ็มอี จำกัด ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพ และการเติบโตของบริษัท จึงเข้ามาร่วมลงทุนในครั้งนี้
บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการร่วมลงทุนครั้งนี้ จำนวน 20 ล้านบาทเพื่อใช้ในการพัฒนาบริการและเพิ่มเติมช่องทางรายได้ รวมทั้งลงทุนเพื่อปรับพื้นฐานโครงสร้างธุรกิจสำหรับการพัฒนาช่องทางการสร้างรายได้แบบยั้งยืนในอนาคต โดยผู้บริหารบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะสร้างคุณค่า และรูปแบบธุรกิจใหม่ ให้กับลูกค้าด้วยสื่ออินเตอร์เน็ต และมีเป้าหมายในการนำบริษัทก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำด้านสื่ออินเตอร์เน็ตของประเทศไทย นับแต่ปี 2551 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 48 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น โดยปี 2550 บริษัทมีรายได้ประมาณ 34 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจ Advertising and Innovative Marketing Solution Division, Enterprise Internet Solution Division และ Valuated Service โดยในปี 2551 บริษัทคาดว่าจะมียอดรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2550 มากกว่าเท่าตัว
นางสาวปฐมาพร ไชยกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน ข้าวกล้า จำกัด ในฐานะผู้บริหารจัดการเงินร่วมลงทุนบริษัทร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด (K-SME Venture Capital) กล่าวว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ สามารถแข่งขันในธุรกิจได้ และมีความต้องการเงินทุนเพื่อขยายกิจการ K-SME Venture Capital มีนโยบายเข้าร่วมลงทุนประมาณ 10 — 50% ของทุนจดทะเบียนภายหลังการร่วมลงทุน ซึ่งบริษัทที่ได้เข้าไปร่วมทุนนั้น ถือว่าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตที่สูง และเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ เช่นเดียวกันกับบริษัทบัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด
สำหรับบริษัท บัณฑิตเซ็นเตอร์ จำกัด ทางบริษัทเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (MAI)ได้ และเชื่อว่าจะได้รับผลตอบที่ดีจากการลงทุนในครั้งนี้ อีกทั้งบริษัท บัณฑิตเซ็นเตอร์ จำกัด เป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดีตามคุณสมบัติของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ K-SME Venture Capital จะเข้าร่วมลงทุน โดยในครั้งนี้ K-SME Venture Capital จะร่วมลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16.67% ของทุนจดทะเบียน
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอสเซทโปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การร่วมทุนครั้งนี้ถือว่าได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งบริษัทบัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด ที่ต้องการเงินลงทุนเพื่อนำไปขยายธุรกิจ รวมไปถึงการสร้างฐานการเงินของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือจากผู้ถือหุ้นที่เป็นสถาบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ มีความมั่นคงและมีความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน กองทุน K-SME ได้ลงทุนตามนโยบายของกองทุนที่เน้นลงทุนใน SME ที่มีศักยภาพ มีการเติบโตที่ดีและเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจ รวมไปถึงการลงทุนที่น่าจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่ดี
นอกจากนี้บริษัทบัณฑิต เซ็นเตอร์ ยังมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เพื่อนำเงินที่ได้มาขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการและปรับโครงสร้างภายในองค์กรต่างๆ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการเข้าจดทะเบียน