ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 3/2551 ที่ 4,825 ล้านบาท

อังคาร ๒๑ ตุลาคม ๒๐๐๘ ๐๘:๓๕
ท่ามกลางวิกฤติการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้น กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศผลประกอบการเบื้องต้นที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิไม่นับรวมกำไร/(ขาดทุน) จากเงินลงทุน ในไตรมาส 3/2551 อยู่ที่ 5,796 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/2550 ซึ่งอยู่ที่ 5,202 ล้านบาท และไตรมาส 2/2551 ที่ 5,775 ล้านบาท สำหรับในไตรมาส 3/2551 ธนาคารได้ตัดสินใจขายเงินลงทุนในต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติทางการเงินของโลกก่อนกำหนดเพื่อจำกัดความเสียหายเป็นผลให้ กำไรสุทธิ ของธนาคารในไตรมาส 3/2551 อยู่ที่ 4,825 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2550 และลดลงร้อยละ 17 จากไตรมาส 2/2551 ทั้งนี้ ณ 30 กันยายน 2551 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนตามกฎหมายต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระดับสูงที่ร้อยละ 17.1 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งในการเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในระหว่างการถดถอย

ดร. วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ให้ความเห็นต่อผลประกอบการที่เกิดขึ้นในไตรมาส 3 ของปี 2551 ว่า “วิกฤติทางการเงินที่เกิดขึ้นกับตลาดการเงินทั่วโลกในขณะนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายและยากลำบากสำหรับสถาบันการเงินทั้งหลายในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามธนาคารไทยพาณิชย์ยังมีความแข็งแกร่งและพร้อมที่จะรับมือกับสภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นในต่างประเทศนี้ อันเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านต่างๆ ตามโครงการปรับปรุงธนาคารในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรในเรื่องการบริหารความเสี่ยงที่เข้มแข็ง”

การที่ธนาคารสร้างเครือข่ายและดำเนินธุรกิจให้บริการทางการเงินที่ครบวงจรอย่างต่อเนื่อง ช่วยส่งเสริมและทำให้ธนาคารสามารถรักษาระดับกำไรสุทธิไม่นับรวมกำไร/(ขาดทุน) จากเงินลงทุนไว้ได้ในระดับสูง ด้วยรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิที่เติบโตต่อเนื่องถึงร้อยละ 4.9 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากการรักษาส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง (ร้อยละ 3.96 ในไตรมาส 3/2551 เทียบกับ 3.92 ในไตรมาส 2/2551) พร้อมไปกับการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ (ร้อยละ 11.5 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) นอกจากนี้ธนาคารมีรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการที่เติบโตต่อเนื่องเช่นกันที่ ร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้กำไรสุทธิไม่นับรวมกำไร/(ขาดทุน) จากเงินลงทุน ของธนาคารในไตรมาส 3/2551 สูงถึง 5,796 ล้านบาท ใกล้เคียงกับในไตรมาส 2/2551 ซึ่งเท่ากับ 5,775 ล้านบาท และสูงกว่า 5,202 ล้านบาทในไตรมาส 3/2550

ธนาคารได้ตัดสินใจขายเงินลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเลห์แมน บราเธอร์ และบริษัทวาณิชธนกิจอีก 2 แห่งออกไปก่อนกำหนด ทำให้เกิดผลขาดทุนสุทธิจากเงินลงทุนจำนวน 732 ล้านบาท (ซึ่งแสดงอยู่ในผลประกอบการตามงบการเงินเฉพาะธนาคาร) สำหรับงบการเงินรวมซึ่งรวมผลขาดทุนจากการขายหุ้นทุนและการปรับลดราคาของเงินลงทุนภายในประเทศ โดยบริษัทย่อย 2 บริษัท ธนาคารแสดงผลขาดทุนสุทธิจากเงินลงทุนในไตรมาส 3/2551 เป็นจำนวน 971 ล้านบาท เป็นผลทำให้กำไรสุทธิในงบการเงินรวมของธนาคารไตรมาส 3/2551 อยู่ที่ 4,825 ล้านบาท เทียบกับ 5,322 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2550 และ 5,818 ล้านบาทในไตรมาส 2/2551

ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2551 อัตราส่วนเงินกองทุนตามกฎหมายต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารอยู่ในระดับที่สูงมากที่ร้อยละ 17.1 (เงินกองทุนชั้นที่ 1 ของธนาคารอยู่ที่ร้อยละ 12.4 และเงินกองทุนชั้นที่ 2 อยู่ที่ร้อยละ 4.7) สูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่ทางการกำหนดไว้ที่ร้อยละ 8.5 เงินกองทุนที่สูงดังกล่าวเป็นผลมาจากการมีสินเชื่อรายย่อยในสัดส่วนที่สูงและ ความสามารถในการทำกำไรอย่างดีเยี่ยมของเครือข่ายของธนาคารตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เงินกองทุนที่แข็งแกร่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธนาคารรับมืออย่างมีประสิทธิภาพกับสภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะถดถอย

นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ให้ความเห็นต่อผลประกอบการว่า “แม้ว่าจะเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ในตลาดการเงินทั่วโลก แต่ผลประกอบการของธนาคารในไตรมาส 3/2551 ตอกย้ำถึงความพร้อมและความสามารถของธนาคารในการฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ อันมาจากรากฐานที่แข็งแกร่งทั้งในเรื่องยุทธศาสตร์การทำธุรกิจและการบริหารจัดการด้านความเสี่ยงอย่างมีระบบ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ยังกล่าวเสริมว่า “วิกฤติการณ์ของฟองสบู่ด้านสินเชื่อทั่วโลกที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความซับซ้อนทางนวัตกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงที่ผ่านมาและการบริหารจัดการด้านความเสี่ยงที่ไม่ดีพอ ในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ ธนาคารมุ่งดำเนินนโยบายให้เป็นไปอย่างรอบคอบระมัดระวังและโปร่งใสอย่างที่ได้ดำเนินการมาโดยตลอด และมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และผู้ถือหุ้นตลอดไป”

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศที่ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร ก่อตั้งขึ้นโดยพระบรมราชานุญาตในปี พ.ศ. 2449 โดยเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2551 ธนาคารมีมูลค่าตลาดรวม (Market Capitalization) สูงเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มสถาบันการเงิน (237 พันล้านบาท) มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 (1,197 พันล้านบาท) มีเครือข่ายสาขาและจุดให้บริการมากที่สุดในประเทศไทย (สาขารวมทั้งสิ้น 929 สาขา ศูนย์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 141 แห่ง เครื่องเอทีเอ็ม 5,840 เครื่อง) เพื่อให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ลูกค้าบุคคล และลูกค้าธนบดีธนกิจ ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.scb.co.th

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ

ธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด (มหาชน)

โทร : 02-544-4502, 02-544-4517

Email : [email protected]

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version